วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555

การตลาดออนไลน์ 2




จากการที่บทความการตลาดออนไลน์ครั้งที่แล้ว (เริ่มต้นกันด้วย Marketing) ได้กล่าวไปแล้วว่า การตลาดแบบ Offline และการตลาดแบบ Online มีความแตกต่างกันอย่างไร หลังจากให้การบ้านสำหรับผู้ประกอบการไปว่า “ธุรกิจของท่านมีลูกค้าเป้าหมายอยู่ในกลุ่มไหน?” วันนี้วิคิดว่า ผู้ประกอบการทุกท่านคงทราบเป็นอย่างดีแล้วว่าลูกค้าของท่านเองเป็นกลุ่มไหน
หากท่านวิเคราะห์ออกมาแล้วว่า กลุ่มลูกค้าของท่านอยู่ในช่วงอายุระหว่าง 15-35 ปี วิขอแนะนำให้ท่านทำการตลาดผ่าน Social Network เพราะจะทำให้ท่านสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างตรงจุด ซึ่งหลายๆท่านก็อาจจะงงเล็กน้อยว่า Social Network ที่วิพูดถึงคืออะไร แต่ถ้าเราเปลี่ยนมาพูดว่า เราจำมาทำการตลาดออนไลน์อย่างง่ายผ่าน Facebook ทุกท่านก็คงอุทานเป็นเสียงเดียวกันว่า “อ๋อออออ” ^^ ซึ่ง Facebook เป็นการทำการตลาดที่ได้ผลเร็ว เห็นผลได้จริง ประเมินผลได้ทันเวลา และประหยัดต้นทุนด้านการโฆษณาประชาสัมพันธ์กันได้อย่างมากเลยทีเดียว
จากการวิเคราะห์สถานการณ์การเข้าถึง Facebook ของไทยจากหลายๆสถาบันพบว่า คนไทยเข้าถึง Facebook เฉลี่ยแล้วมากกว่า 15 ชั่วโมงต่อวัน โอ้โห.. สูงมากเลยนะคะ และยังพบว่า Facebook เป็น social Network ชนิดเดียวที่ประชาชนใช้เวลาในการตอบโต้ และขับเคลื่อนสถานการณ์ต่างๆ เป็นระยะเวลานานเลยทีเดียว ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมเราต้องมาทำการตลาดผ่าน Facebook หรือที่เราเรียกกันว่า Fan Page ผู้ประกอบการสามารถสร้าง Fan Page ได้ง่ายๆ คลิก  หลังจากที่เราสร้าง Fan Page กันเรียบร้อยแล้ว วิขอแนะนำทริคง่ายๆในการทำ Fan Page ดังนี้ค่ะ
1.   ปรับ ตกแต่งรูปของ Fan page ให้สวยงาม เพื่อดึงดูดความสนใจ และเป็นจุดเด่นเหนือคู่แข่ง
2.   สร้างฐานการรับรู้จากลูกค้า โดยเชิญชวนเพื่อนให้เข้ามา LIKE ที่ Fan Page ของเรา
3.   หลังจากที่มีฐานลูกค้าแล้ว สิ่งสำคัญที่ Fage พึงกระทำคือ ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ติดตาม อาทิเช่น ข่าวสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าของท่าน ทั้งทางตรงและทางอ้อม
4.   มีการอัพเดตข้อมูลบน Fan Page เป็นประจำและสม่ำเสมอ เพื่อสร้างความคุ้นชินให้กับลูกค้าผู้ติดตาม
5.   มีการตอบสนอง และตอบกลับลูกค้าทันที ที่ลูกค้ามีส่วนร่วมบน Fan Page อาทิเช่น Post ถามบนหน้า Fan Page การ Like การส่งข้อความมายังกล่องข้อความ เป็นต้น เพื่อให้ลูกค้ามีความรู้สึกว่า ตนเองมีความสำคัญต่อผู้ประกอบการอยู่เสมอ
6.   มีการวิเคราะห์ว่า ลูกค้าของเราชื่นชอบสิ่งไหนจากการที่เรา Post เพื่อป้อนข้อมูลที่ตรงใจลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
บทความจาก .. คุณเพ็ญวิสาข์ หล้าตานะ 

วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2555

อาหารบำบัดโรค 2 – กระเทียม


ครั้งที่แล้วเราพูดถึงอาหารบำบัดโรคชนิดแรกไปแล้ว นั่นคือ บร็อคโคลี่ (Broccoli) ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย วันนี้เรามาดูกันค่ะว่า ผัก หรืออาหารชนิดไหนที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพกันบ้าง มาเริ่มกันที่อาหารบำบัดโรคแนะนำชนิดที่ 2 “กระเทียม” กันเลยค่ะ

กระเทียม ถ้าพูดถึงกระเทียม ทุกคนจะมีความคิดเห็นตรงกันว่า เป็นพืชสมุนไพรที่มีกลิ่นค่อนข้างฉุน แต่รู้มั้ยคะว่า เจ้ากระเทียมที่กลิ่นฉุนๆนี่แหละค่ะ เป็นตัวยาสมุนไพรไทยชั้นเยี่ยมเลย นอกจากใช้ปรุงอาหารเพื่อให้เกิดความอร่อยแล้ว ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมากมาย  ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ  ลดและสลายปริมาณคอเลสเตอรอลไตรกลีเซอไรด์ในเลือดซึ่งเป็นสาเหตุของหลอดเหลืออุดตัน และป้องกันการเกิดของโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง ยับยั้งสารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง
นอกจากนี้สารอัลลิซินในกระเทียมยังช่วยลดน้ำตาลในเลือด กระตุ้นการหลั่งเอนไซม์ในกระเพาะอาหาร ทำให้การย่อยอาหารและการขับถ่ายมีประสิทธิภาพ จากค้นคว้าของ ดร.วาร์โร อี.ไทเลอร์ ที่ปรึกษาคณะเภสัชศาสตร์ แห่งสถาบันยา มหาวิทยาลัยเพอดู เวส ลาฟาแยต พบว่า กระเทียมมีประสิทธิภาพเหมือนยาแอสไพริน คือสามารถทำให้โลหิตไหลเวียนได้ดีขึ้น เป็นตัวอย่างต่อต้านแบคทีเรีย และทำหน้าที่เหมือนยาเพนนิซิลิน ซึ่งยานี้เพิ่งจะถูกค้นพบขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1928 ในขณะที่มีการค้นพบกระเทียมตั้งพันปีล่วงมาแล้ว กระเทียมสามารถต่อต้านสารพิษ ทำให้ภูมิชีวิต (Immune System) ดีขึ้น
ประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 6,000 ปี ของกระเทียม ที่ชาวอียิปต์ใช้ประกอบการทำมัมมี่ เพื่อชะลอ การบูดเน่าของศพ เป็นสิ่งยืนยันได้เป็นอย่างดี ถึงประโยชน์ทางยาของกระเทียม การวิจัยของแพทย์ปัจจุบัน ยิ่งเสมือนเป็นการตอกย้ำ ประโยชน์ทางยาของกระเทียม เพราะต่างยืนยันว่า กระเทียมสามารถฆ่าเชื้อโรคและแบคทีเรีย ใช้เป็นยาปฏิชีวนะ เพื่อรักษาโรคหืด กลาก เกลื้อน สิว หวัด และโรคที่เกี่ยวกับทางเดินอาหาร นอกจากนี้ กระเทียมยังทำให้ ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายแข็งแรง ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นควรรับประทานกระเทียมสดเป็นประจำทุกวัน (ถ้าเพื่อนๆ สามรถทนกลิ่นได้นะคะ ^^)  โดยสับให้ละเอียดผสมกับอาหารจานเด็ดวันละ 2 ช้อนชา จะได้สารอาหารที่เป็นประโยชน์เต็มที่จากกระเทียมเลยทีเดียว  

บทความโดย ... คุณเพ็ญวิสาข์ หล้าตานะ 

อาหารลดความอ้วน – พริก



                ตอนที่แล้ว เราได้กล่าวไปแล้วว่า ความอ้วนคืออะไร มีข้อดีข้อเสียยัง และมีอาหาร พืช ผัก ผลไม้ชนิดใดบ้างที่ติดอยู่ในลิสต์อาหารที่สามารถลดความจ้ำม่ำได้ ไม่ว่าจะเป็น พริก ถั่วเปลือกแข็ง เต้าหู้ น้ำส้มสายชูวินิการ์ และลูกแพร์ แต่เอ๊ะ .. ทำไมอาหารพวกนี้ถึงสามารถเป็นส่วนสำคัญในการลดควาอ้วนได้ แต่ละชนิดมีประโยชน์ ข้อดี ข้อเสียยังไงกันบ้างนะ
                เริ่มจากพริก (ต่อเนื่องจากบทความที่แล้ว) เมื่อพูดถึงพริก ทุกคนก็จะพูดเป็นสิ่งเดียวกันว่า “เผ็ด” ถูกต้องค่ะ ขึ้นชื่อว่าพริกต้องมีความเผ็ด พริกยิ่งเผ็ดยิ่งมีคุณภาพ แล้วเพื่อนๆ รู้มั้ยคะว่าความเผ็ดของพริกเกิดมาจากอะไร นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.ศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ กล่าวว่า ความเผ็ดของพริกมาจากสารชื่อ "แคป ไซซิน" พริกยังมีสารสำคัญอีกหลายชนิด เช่น วิตามินซี วิตามินเอ ธาตุเหล็ก และแคลเซียมคนที่กินพริกนานๆ จะทำให้ติดเผ็ด จากงานวิจัยที่ผ่านมา พบว่า คนไทยกินพริกมากที่สุดเฉลี่ย 5 กรัมต่อวัน  หรือ ประมาณ 1 ช้อนชา 



                แล้วพริกมีประโยชน์ยังไงกันบ้างล่ะ? ... พริก ช่วยเพิ่มสารเอ็นโดรฟิน หรือสารแห่งความสุข บรรเทาอาการ เจ็บปวด บรรเทา อาการไข้หวัด ลดน้ำมูก ลดปริมาณคอเรสเตอรอล จาก งานวิจัยของญี่ปุ่น พบว่า พริกช่วยเพิ่มอุณหภูมิในร่างกายและช่วยในการเผาผลาญ มีประโยชน์เรื่องการควบคุมน้ำหนัก ลดอาการหอบหืดได้อย่างดีเยี่ยม เนื่องจากพริกเป็นตัวสำคัญที่ช่วยขยายหลอดลมเป็นอย่างดี  สำหรับผู้หญิงที่รักสวยรักงามแล้ว อย่าพลาดเรื่องนี้ค่ะ ผลการวิจัยปรากฏชัดเจนว่า พริกช่วยอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยง ในการเกิดโรคมะเร็ง ช่วยลดอาการอักเสบของผิวหนัง แก้ปวดข้อ ปวดเมื่อยตามตัว เข่าอักเสบ เริม หรืองูสวัด  อีกด้วย แต่สำหรับเพื่อนๆ ท่านไหนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอยู่แล้ว ควรหลีกเลี่ยง เพราะอาหารรสเผ็ดจัด จะยิ่งทำให้กรดไปกัดแผลในกระเพาะอาหารนะคะ แต่ยังไงแล้ว พริกก็มีคุณมากกว่าโทษอยู่แล้วค่ะ

บทความโดย .. คุณเพ็ญวิสาข์ หล้าตานะ และครูบ้านนอก

เริ่มต้นกันด้วย Marketing !!


Picture
       ในธุรกิจยุคปัจจุบันสังคมเข้าสู่ยุคเทคโนโลยีมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมนุษย์ได้รับเอาเทคโนโลยีต่างๆเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันโดยไม่รู้ตัว อาทิเช่น การใช้คอมพิวเตอร์ ระบบอินเทอร์เน็ตไร้สาย อุปกรณ์อำนวยความสะดวกอื่นๆ เช่น Smart Phone, Tablet เป็นต้น ซึ่งหากผู้ประกอบการต้องการขยายฐานการตลาดให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบัน ผู้ประกอบการจำเป็นต้องทำการตลาดแบบ Online ควบคู่กับการตลาดแบบ Off Line ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน

        ความแตกต่างระหว่างการตลาดแบบ Offline และการตลาดแบบ Online กล่าวได้คร่าวๆ ดังนี้ การตลาดแบบ Offline ได้แก่ การตลาดทางตรงโดยทั่วไป เช่น การใช้โบว์ชัวร์ ป้ายโฆษณาต่างๆ ในการประชาสัมพันธ์สินค้า ส่วนการตลาดแบบ Online ได้แก่ การตลาดที่เกี่ยวข้องกับระบบอินเทอร์เน็ต เช่น การส่ง E-mail การใช้เว็บไซต์ การสร้างการรับรู้โดย Social Network  การโทรศัพท์เพื่อประชาสัมพันธ์สินค้า (Tele Marketing) การส่ง SMS ถึงลูกค้า เป็นต้น ซึ่งการตลาดแบบ Online เป็นการตลาดที่เห็นผลได้ชัดเจน มีการตอบสนองจากลูกค้าได้อย่าง Real Time ซึ่งผู้ประกอบการสามารถวิเคราะห์ตลาด และพฤติกรรมลูกค้าได้อย่างตรงจุดมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ฐานลูกค้าของผู้ประกอบการขยายได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
        หลังจากที่รู้จักการตลาดแบบ Online ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อยากให้ผู้ประกอบการลองวิเคราะห์ดูว่า ธุรกิจของท่านมีลูกค้าเป้าหมายอยู่ในกลุ่มไหน สามารถทำการตลาดแบบ Online ได้หรือไม่ หลังจากที่วิเคราะห์กันเรียบร้อยแล้ว ครั้งหน้ามาร่วมกันวิเคราะห์ และเรียนรู้ขั้นตอน วิธีการในการทำการตลาดออนไลน์กันนะคะ
ยกตัวอย่างของเว็บไซต์ที่ทำการตลาดออนไลน์ ได้แก่  เว็บไซต์รวมร้านอาหาร

บทความจาก ... คุณเพ็ญวิสาข์ หล้าตานะ 

การตลาดออนไลน์



    ในด้านการตลาดทางด้านการท่องเที่ยว เป็นตลาดที่มีความยืดหยุ่นสูง เป็นการตลาดที่ค่อนข้างไร้กรอบทางด้านความคิด เนื่องจากธุรกิจทางด้านการท่องเที่ยวจะมีความสัมพันธ์กับสภาพภูมิอากาศ เศรษฐกิจ และสังคมเป็นส่วนมาก และในฤดูกาลทางด้านการท่องเที่ยวในแต่ละท้องที่จะมีคะแนนความนิยมจากนักท่องเที่ยวที่แตกต่างกันตามสภาพภูมิประเทศ และภูมิอากาศ ทั้งนี้การวางแผนการตลาดต้องมีการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และปรับแผนของโครงการให้เข้ากับสังคมและองค์ประกอบต่างๆในขณะนั้น  ดังนั้น ทั้งผู้ประกอบการและนักท่องเที่ยวจะมีสิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานที่ต่างๆ รวมถึงสามารถแบ่งปันประสบการณ์และความคิดเห็นโดยแท้จริงของทุกคนได้อย่างเต็มที่
     เว็บไซต์ด้านร้านอาหาร “Hoteating” เป็นเว็บที่ให้บริการด้านข้อมูลร้านอาหารทั่วประเทศไทย ซึ่งเปิดโอกาสให้นักชิมตัวยงสามารถเข้ามาแบ่งปันข้อมูล แนะนำร้านอาหาร และสามารถเข้ามาแสดงความคิดเห็น (Review) เกี่ยวกับสถานที่นั้นๆ ด้วยตัวเอง รวมทั้งสามารถแบ่งปันสถานที่ ที่นักชิมได้ไปสัมผัสมาตามสถานการณ์จริง (Location base service) เพื่อที่ลูกค้าจะสามารถเลือกใช้บริการร้านอาหารนั้นๆจากเรื่องจริงที่ลูกค้าท่านอื่นๆได้สัมผัสมาแล้ว  
Picture

บร็อคโคลี่ อาหารบำบัดโรค


ในปัจจุบัน อาหาร Fast food เป็นอาหารที่มีบทบาทกับผู้คนในยุคเร่งรีบมากขึ้น  เนื่องจากประชาชนในปัจจุบัน เริ่มมีเวลาในการบริหารการกินน้อยลง ต้องต่อสู้กับปัญหาทางท้องถนนมากขึ้น โดยเฉพาะหนุ่มสาว ชาวออฟฟิต ที่ต้องใช้ Fast Food เป็นอาหารเช้าในช่วงเวลาอันน้อยนิดก่อนไปทำงาน จึงทำให้สุขภาพของวัยทำงาน อยู่ในเกณฑ์ที่ถือได้ว่า ระดับความแข็งแรงของสุขภาพลดน้อยลงไปเรื่อยๆ จึงทำให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมามากมาย วันนี้จึงนำเอาความรู้ด้านอาหารบำบัดโรคมาแบ่งปัน เพื่อให้ทุกท่านได้โฟกัสถึงอาหารที่มีประโยชน์มากขึ้นเริ่มกันที่อาหารบำบัดโรคชนิดแรก ได้แก่ บร็อคโคลี่ (Broccoli) ผักอีกชนิดหนึ่งที่หลายๆคนไม่ชอบกินเป็นอย่างมาก แต่หลายๆคนคงไม่ทราบว่า บร็อคโคลี่ (Broccoli) มีประโยชน์มากมายเพียงใด ขอแนะนำให้เพื่อนๆรู้จัก บร็อคโคลี่ (Broccoli) กันก่อนนะคะบร็อคโคลี่ (Broccoli) จัดเป็นพืชผักตระกูลกะหล่ำ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Brassica oleraceae var. italica บร็อคโคลี่เป็นผักที่ปลูกเพื่อ บริโภคส่วนของดอกอ่อน และก้าน ส่วนของดอกบร็อคโคลี่ จะมีสีเขียวประกอบด้วย ดอกย่อยขนาดเล็กสีเขียว เป็นจำนวนมาก ที่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ มีลักษณะแน่น แต่ไม่อัดตัวกันแน่น เหมือนดอกกะหล่ำบร็อคโคลี่ (Broccoli) เป็นผักที่มีธาตุเซเลเนียม ซึ่งเจ้าธาตุเซเลเนียมนี้มีข้อดีเยอะแยะมากมาย อาทิเช่น ช่วยป้องกันโรคหัวใจ  ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของร่างกาย  ทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง   ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ดีที่สุด  บำรุงตับ  และลดสาเหตุของการเป็นหมัน  อีกทั้ง บร็อคโคลี่ (Broccoli) ยังทำให้มนุษย์มีอายุยืนยาวขึ้น ชะลอความชราของเซลล์ผิว  โดยเพิ่มน้ำหล่อเลี้ยงให้มีความนุ่มชุ่มชื่น  คงความเต่งตึง  เป็นหนุ่มสาวได้ยาวนาน  ซึ่งถ้าหากขาดธาตุเซเลเนียม จะทำให้โอกาสการเกิดโรคมะเร็งในผู้หญิงสูงขึ้น เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ และมะเร็งต่อมลูกหมากของผู้ชาย  แม้แต่ในผู้ติดเชื้อ HIV หรือผู้ป่วยโรคเอดส์  เซเลเนียมยังช่วยกระตุ้นให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงได้  โดยเฉพาะใช้ร่วมกับวิตามิอี  กระตุ้นภูมิเพิ่มได้ 30 เท่าอีกด้วย ล่าสุดผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยคิงส์คอลเลจ ลอนดอน ประเทศอังกฤษ ยังพบว่า บร็อคโคลี่ (Broccoli)ช่วยรักษาโรคอัลไซเมอร์ด้วยค่ะแต่เอ๊ะ .. ไม่ว่าจะเป็นผักหรือผลไม้ทุกอย่าง หากได้รับไปในปริมาณที่มากเกินไปก็อาจทำให้เกิดโทษได้เหมือนกันนะคะ ไม่เว้นแม้แต่ผักนานาประโยชน์อย่าง บร็อคโคลี่ (Broccoli) ยังมีข้อเสียได้แก่ หากเรารับประทานธาตุเซเลเนียมใน บร็อคโคลี่ (Broccoli) มากเกินไป จะทำให้เกิดผลข้างเคียงเช่น โรคโลหิตจาง เส้นผมหลุดร่วง เล็บเปราะบางและหักง่าย ดังนั้นการรับประทานอาหารทุกชนิดต้องอยู่ในควาพอดี รับประทานอย่างเหมาะสม ถูกหลักโภชนาการนะคะ


บทความ … คุณเพ็ญวิสาข์ หล้าตานะ

อาหารลดความอ้วน 1







ความอ้วน หรือ โรคอ้วนคืออะไร?
โรคอ้วน หมายถึงสภาวะร่างกายที่มีไขมันสะสมไว้ตามอวัยวะต่างๆ มากจนเกินไป ซึ่งตามหลักสากลกำหนดว่า ผู้ชาย ไม่ควรมีปริมาณของไขมันในตัวเกินกว่า ร้อยละ 1215 ของน้ำหนักตัว และผู้หญิง ไม่ควรมีปริมาณของไขมันในตัวเกินกว่า ร้อยละ 18 20 ของน้ำหนักตัว
น้ำหนักส่วนใหญ่ของคนเราประกอบด้วยน้ำหนักของกระดูก กล้ามเนื้อ เลือด และไขมันบวกกัน     กระดูกควรหนักเพราะหมายถึงกระดูกแข็ง ไม่เปราะบางหักง่าย   กล้ามเนื้อควรหนักเพราะหมายถึงมีกำลังมากสามารถเดินหรือทำงานได้นานกว่าจะเมื่อยล้า   เลือดควรหนักเพราะหมายถึงมีเลือดมากไม่ซีด     แต่ไขมันสะสมควรเบาหรือมีน้อยที่สุด  เพราะเป็นส่วนเกินซึ่งไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
อาหารลดความอ้วน
การอดความอ้วนที่ถูกต้องได้แก่ การเลือกรับประทานอาหารที่มากด้วยคุณประโยชน์ เลือกทานโปรตีนในปริมาณพอดี แต่ลดปริมาณอาหารที่มีไขมันจำนวนมาก ซึ่งเป็นต้นเหตุของความอ้วน ดังนั้นการลดไขมันส่วนเกินในร่างกายให้เหลือน้อยที่สุดจึงควรเน้นรับประทานอาหารประเภทโปรตีนและผักให้อิ่มทุกมื้อ      และลดอาหารประเภทแป้ง  หวานและมันให้เหลือน้อยที่สุดตลอดไป และหนทางแห่งการลดน้ำหนักที่ดีที่สุดคือการออกกำลังกาย และ การเลือกกินอาหาร ที่ช่วยกระตุ้นระบบการเผาผลาญ และลดความอยาก แล้วอาหารอะไรบ้างที่จะช่วยให้คุณผอมลงได้
พริก ผลการวิจัยในประเทศญี่ปุ่นพบว่า สารแคปไซซิน (Capsaicin) ในพริกช่วยลดการอยากอาหารได้
ถั่วเปลือกแข็ง เช่น วอลนัต อัลมอนด์ แม้ถั่วหนึ่งกำมือจะมีแคลอรีสูงถึง 165 กิโลแคลอรี แต่ผลการวิจัยของมหาวิทยาลัย Purdue สหรัฐอเมริกา พบว่า การกินถั่วเปลือกแข็งช่วยกระตุ้นร่างกายให้เผาผลาญดีขึ้นอีก 11 เปอร์เซ็นต์และลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคหัวใจได้ด้วย
เต้าหู้ ผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยหลุยส์เซียนา สหรัฐอเมริกา พบว่า การกินเต้าหู้ 1 ช้อนโต๊ะ ก่อนกินอาหาร ช่วยลดความอยากอาหารได้ 42 เปอร์เซ็นต์
น้ำส้มสายชูวินิการ์ ผลการวิจัยจากประเทศสวีเดนพบว่า หากกินน้ำส้มสายชูวินิการ์พร้อมมื้ออาหาร กรดอะซิติกในน้ำส้มสายชูจะช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานช้าลง จึงอิ่มนานขึ้น
ลูกแพร์ นอกจากจะมีไฟเบอร์สูงแล้ว ผลการวิจัยในบราซิลยังพบว่า ผู้หญิงที่กินลูกแพร์ขนาดเล็กหลังมื้ออาหาร เป็นเวลา 2 เดือน มีน้ำหนักลดลง ½ กิโลกรัม

บทความโดย .. คุณเพ็ญวิสาข์ หล้าตานะ  และ นิตยสาร Health & Cuisine