วันอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ผมไม่ได้เป็นคนพิการ ผมคือคนปกติ !


       วันนี้มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนแนวคิดกันในตอนเช้า ก่อนเริ่มทำงาน แนวคิดอะไรดีดีก็เกิดจากการรวมไอเดียนี่เแหละค่ะ ใครจะเชื่อว่า บางครั้งแนวคิดของคนบางคนเพียงแค่ 1 ประโยคที่เค้ากล่าวออกมานั้น สามารถเป็นสิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่นได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว


       อย่างวันนี้ไอหมอกได้มีโอกาสพูดคุยกับ คุณสมจิตร ผู้พิการขาขาดจากเหตุการณ์ไฟไหม้บ้านตอนอายุ 4 ขวบ มาถึงวันนี้สมจิตรอายุ 20 ปี สมจิตรได้แนวคิดมากมายที่เกิดจากการเรียนรู้ของตนเองตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สมจิตรบอกกับเราว่า "ผมไม่เคยคิดว่าผมเป็นคนพิการ ผมคิดอยู่เสมอว่า ผมเป็นคนเหมือนคนอื่นๆ ผมไม่ชอบที่จะใช้รถเข็นเพื่อพาตัวเองไปนั่นนี่ ผมชอบที่จะเดินไปด้วยขา 2 ข้างของผมที่ผมยังมีอยู่ ถึงแม้ว่ามันจะมีขนาดสั้นกว่าขาของคนอื่นๆ เค้าก็ตาม บางทีผมก็สามารถเดินให้เร็วอย่างก้าวทันคนอื่นๆ แต่บางครั้งเมื่อผมเหนื่อยจากการเดินเร็ว ผมก็แค่เดินให้ช้าลง เพื่อคลายความเหนื่อยของตัวเอง ถึงแม้ว่าผมจะเดินไปถึงจุดหมายช้าลงกว่าคนอื่น แต่ผมก็ยังไปถึง ขอแค่เราไม่หยุดเดิน เดินก้าวไปอย่างสม่ำเสมอ ช้าบ้างเร็วบ้างสลับกันไป ขอให้มุ่งมั่นที่จะก้าวไปก็พอ"


       มาถึงจุดนี้ไอหมอกรู้สึกว่า สิ่งที่สมจิตรมีมากกว่าคนอื่นๆ นั่นก็คือความคิดแนวบวก ที่มองโลกในแง่ดีอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้สมจิตรไม่รู้สึกด้อยค่า หรือน้อยเนื้อต่ำใจในตัวเอง นอกจากแนวคิดแนวบวกแล้ว สิ่งหนึ่งที่สมจิตรมี ยังเป็นสิ่งที่เราควรมาปรับใช้ นั่นคือความพยายาม และความมุ่งมั่น ที่จะก้าวเข้าไปสู่เป้าหมายที่วางไว้นั่นเอง อย่างน้อย ณ วันนี้สมจิตรยังสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้กับเพื่อนๆ รวมทั้งไอหมอกได้เป็นอย่างดี วันนี้เมื่อเรามีโอกาสในการคิด และทำ เราก็ควรจะใช้โอกาสนั้นให้เต็มที่ เท่าที่เราจะสามารถทำได้ ไม่ว่าผลมันจะออกมาเป็นอย่างไร ไอหมอกก็ยังเชื่อว่า โลกนี้ยังมีสิ่งที่สวยงามรอต้อนรับเราอยู่เสมอ :)


วันเสาร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ทฤษฎีนกกระจอก


       จากการที่เหน็ดเหนื่อยจากการทำงานมาได้ระยะหนึ่ง ทำให้เกิดอยากไปนั่งปล่อยอารม และปรึกษาแนวคิดกับผู้ใหญ่ที่เคารพ ก็เลยแวะไปที่ประจำกับคนญี่ปุ่นใจดี ร้านอาหารญี่ปุ่นซันซุย จ.เชียงใหม่ ร้านอาหารที่อยู่กับเชียงใหม่มา 20 กว่าปี ร้านนี้เจ้าของร้าน "คุณซาโม่" เค้าใส่ใจกับอาหารทุกจานด้วยตัวเค้าเอง ... ที่นี่ นอกจากได้ลิ้มรสอาหารญี่ปุ่นต้นตำรับกันแล้ว ไอหมอกยังคงได้นั่งพูดคุย และรับฟังแนวคิดดีดีจาดคุณซาโม่กันด้วย วันนี้ไอหมอกเลยนำมาแชร์ให้เพื่อนๆ ได้อ่าน และเรียนรู้แนวคิดของคนญี่ปุ่นเพิ่มเติมกันค่ะ

 

       คุณซาโม่พูดถึง "ทฤษฎีนกกระจอก" ให้เราเห็นภาพกันง่ายๆกันด้วยค่ะ .. "นกกระจอก เป็นนกตัวเล็กๆ ที่ทุกๆคนคงเคยเห็น เราเปรียบเจ้าของกิจการเป็นเหมือนหัวของนกกระจอก เป็นผู้ที่คิดวางแผนว่า จะบินไปทางไหน ทางไหนที่จะเป็นทางที่มีแรงพยุงใต้ปีก ทางไหนที่เป็นพายุ เป็นส่วนที่คิดหาช่องทางให้การบินนี้ เป็นการบินที่ถึงเป้าหมายให้เร็วที่สุด .. ส่วนลูกน้องเปรียบเหมือนหางนกกระจอก คือส่วนสำคัญที่ทำให้นกกระจอกได้รับแรงพยุงใต้ปีกจากลมอย่างเต็มที่ หางนกกระจอกเป็นส่วนที่เสริมสร้างการบินของนกกระจอก และสร้างความสัมพันธ์กันอย่างสมดุล การบินของนกกระจอกตัวนั้นจึงจะสามารถบินไปในทางที่เจอแต่แสงสว่าง และสิ่งสวยงาม คนที่จะเป็นเจ้าของกิจการ หากไม่เคยเป็นลูกจ้าง ไม่มีวันเข้าใจจิตใจลูกน้อง .. คนที่ไม่ลองเป็นลูกจ้าง จะไม่เข้าใจความคิดของผู้บริหาร และจะก้าวเป็นเจ้าของกิจการไม่ได้ .. หัวกับหางต้องเข้าใจกัน และเรียนรู้ต่อกันเสมอถึงจะมีความสมดุล" มาถึงตรงนี้ไอหมอกคิดว่า ทฤษฎีนกกระจอกนี เป็นทฤษฎีที่น่าสนใจมากมายเลยค่ะ บางทีเราอาจมองข้ามไป เนื่องจากบางครั้ง เรามีหลายสิ่งหลายอย่างที่คิดมากมาย จนอาจทำให้ลำดับความสำคัญไม่ได้ สิ่งไหนก็จำเป็นต้องคิดต้องทำไปซะหมด

       คุณซาโม่ยังปิดท้ายอีกว่า หลายๆคนโชคดีที่ ณ วันนี้เวลานี้ คนๆเดียวเป็นได้ 2 หน้าที่ในเวลาเดียวกัน นั่นคือ หัวและหางของนกกระจอก หรือที่เราเรียกกันง่ายๆว่า เป็นทั้งเจ้านายของที่หนึ่ง และเป็นลูกน้องของอีกที่หนึงในเวลาเดียวกัน ซึ่งน้อยคนนักที่จะสามารถรับการเรียนรู้จาก 2 ด้านที่มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงได้อย่างลงตัว บางทีการที่เราใช้ทักษะการเป็นอยู่ในขณะนี้ เข้ามามีส่วนปรับใช้ในการทำงานแต่ละสถานะก็เป็นการทำให้งานที่เราทำอยู่นั้นออกมาในรูปแบบผลลัพธ์ที่ดีอย่างที่เราภูมิใจก็เป็นได้


       ไอหมอกเห็นว่า ในฐานะของการเป็นผู้บริหาร หรือเจ้านาย ควรที่จะเรียนรู้ความคิด และรับฟังความคิดเห็นในมุมมองของลูกน้องมากยิ่งขึ้น ถึงจะสามารถบริหารจัดการกิจการอย่างเข้าอกเข้าใจ ซึ่งผลที่ได้มานั้นไม่ได้แค่จากแนวคิดของพนักงานเท่านั้น แต่ยังได้รับการถ่ายทอดความคิดของลูกค้าผ่านทางพนักงานอีกด้วย ในขณะเดียวกันคนที่เป็นลูกน้อง หรือลูกจ้างก็อย่าเพิ่งน้อยอกน้อยใจไปว่า ทำไมตนเองถึงเป็นแค่พนักงาน แต่เราควรใช้โอกาสในการเป็นตั้งพนักงาน ในการเรียนรู้แนวคิดของผู้บริหารกิจการ มุมมองด้านการบริหารชีวิตและธุรกิจของผู้นำอย่างเต็มที่ เพื่อที่วันนึงท่านจะได้เติบโตขึ้นตามอย่างผู้ที่ท่านได้เรียนรู้มา ไอหมอกขอเป็นกำลังใจให้กับทุกท่านนะคะ ^_____^"

SMEs กับเว็บไซต์ เครื่องมือสำคัญในการทำธุรกิจ

       สวัสดีค่ะ เพื่อนๆที่รักของไอหมอก ขอโทษทีนะคะ ที่ไอหมอกห่างหายไปเลยพักนึง แบบว่างานยุ่งมากมายเลยค่ะช่วงนี้ แต่วันนี้รู้สึกคิดถึงแฟนๆไอหมอกจับใจ ขอหาเวลามาทักทายเพื่อนๆยามบ่ายกันสักนิดนึง หวังว่าเพื่อนๆคงไม่น้อยใจไอหมอกกันนะคะ ^____^"

       เอ่ เอ้ วันนี้มีเรื่องราวในหัวมากมายที่อยากจะเขียนออกมาให้เพื่อนๆได้แชร์ไอเดียร่วมกัน จนรู้สึกว่า .. มันเยอะจนเลือกไม่ถูก แหะๆ อืมมมม .. เอาเป็นว่า มาคุยเรื่องเกี่ยวกับแนวทางการเพิ่มช่องทาง ทางธุรกิจของเรากันดีกว่าค่ะ .. เรื่องมันมีอยู่ว่า ไอหมอกได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้ประกอบการหลายๆท่าน ที่เป็น SMEs หัวใจใหม่ ที่มีความหระตือรือร้นเป็นพิเศษเกี่ยวกับ AEC ที่จะถึงนี้ (ถึงแม้ว่า AEC อาจจะมีการขยาย เลื่อนระยะเวลาไปก็ตาม) แต่ไอหมอกถือว่า ผู้ประกอบการเหล่านี้มองเห็นถึงความสำคัญสำหรับการขยายช่องทางธุรกิจต่อ AEC เป็นอย่างมากเลยทีเดียว ดีแล้วละค่ะที่เรามีการเตรียมความพร้อมตั้งแต่เนิ่นๆ ดีกว่ามาเร่งตอนทีหลัง เพื่อให้ทันตามกระแสแบบนี้เหนื่อยแย่เลยนะคะ

       พี่ผู้ประกอบการท่านหนึ่ง เค้าคุยกับไอหมอกว่า จริงๆแล้วที่ผ่านมาเค้าคิดมาเสมอว่า สินค้าของเค้าเป็นสินค้าที่ดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องง้อลูกค้า ลูกค้าที่เข้ามาเป็นลูกค้าที่ชื่นชอบสินค้าของเค้าเป็นอย่างมากอยู่แล้ว และจากฐานลูกค้านี้เอง ทำให้เค้าคิดว่า แค่นี้เค้าก็พอใจในสิ่งที่ธุรกิจตนเองเป็นอยู่แล้ว แต่มา ณ จุดหนึ่ง ที่เริ่มมีคู่แข่งเข้ามาในตลาดธุรกิจประเภทเดียวกันกับเค้ามากขึ้น ลูกค้าของเค้าก็เริ่มหายไป ทีนี้แหละจะเอาไงดีละคะ จะมีทางไหนที่เราจะสามารถดึงลูกค้าเก่ากลับมา พร้อมกับดึงดูดความสนใจจากลูกค้าใหม่อีกด้าน แน่นอนละค่ะ ลูกของเรากำลังมีปัญหา บรรดาพ่อแม่ที่ดูแลประคบประหงมมาตลอดตั้งแต่เล็กจนโต ไม่มีทางอยู่ได้อย่างสบายใจ และเย็นใจได้หรอกค่ะ จริงมั้ย? พี่เค้ากับไอหมอกเลยมานั่งคุยกันว่า .. จริงๆแล้วการทำธุรกิจในยุคปัจจุบัน หากไม่มีการตื่นตัวและหาช่องทางใหม่ๆอยู่เสมอ ไม่มีทางที่จะเจริญเติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันเป็นยุคของโลกอินเทอร์เน็ตและ IT หากผู้ประกอบการที่ต้องการแข่งขันและรักษาฐานตลาดลูกค้าอย่างกว้างขวาง ผู้ประกอบการในปัจจุบันจำเป็นต้องใช้เครื่องมือให้เข้ากับยุคสมัยในโลกออนไลน์ และเพื่อประโยชน์ในการสื่อสารกับกลุ่มลูกค้าให้ทันยุคสมัย และเป็นการเตรียมพร้อมด้านการแข่งขันในตลาด AEC และมีศักยภาพในการแข่งขันในตลาดอย่างดีเยี่ยม .. ไอหมอกแนะนำให้ผู้ประกอบการมีเว็บไซต์ในการนำเสนอสินค้าและรายละเอียดสถานประกอบการของท่าน อาจเป็นเว็บไซต์อย่างง่าย ที่สามารถอ่านรายละเอียด ข้อมูลต่างๆ อย่างสบายตา โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีราคาแพงมากมายแต่อย่างใด ... เนื่องในปัจจุบัน การเข้าถึงสินค้าต่างๆ ผ่านทางโลกออนไลน์เป็นที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง เพื่อนๆผู้ประกอบการลองดูนะคะ บางที การที่เรามีเว็บไซต์ อาจเป็นผลดีต่อหลายๆสิ่งในอนาคตก็เป็นได้ค่ะ ^^* สำหรับเพื่อนๆที่มีความรู้ด้านเว็บไซต์ และอยากแนะนำ ก็สามารถเข้ามาพูดคุยกันได้นะคะ ไอหมอกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะเป็นตัวกลางในการให้คำแนะนำให้กับทุกท่านค่ะ 

ตัวอย่างเว็บไซต์


วันเสาร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2555

'ป๊อปคอร์น'ข้าวโพดม่วงเมืองสามหมอก


       แจ้งเกิดในงาน "มหกรรมสินค้าโอท็อป" ที่เมืองทองธานี ได้ยังไม่ถึง 2 ปี มาวันนี้ "ป๊อปคอร์นไทยใหญ่" ผลิตภัณฑ์ที่ "กลุ่มเกษตรกรเมืองสามหมอก" ต.จองคำ อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน แปรรูปมาจากข้าวโพดเหนียวสีม่วงที่ชาวไทยใหญ่นำมาคั่วผสมเกลือให้เด็กๆ กินเล่นในอดีต กลายเป็นสินค้าที่ขายดี และกำลังจะแซงผลิตภัณฑ์ที่ขายดีที่สุดของกลุ่มเดียวกัน "ขนมงาโหย่ว" โอท็อป 5 ดาว ล่าสุดได้ส่งประกวดเพื่อให้คณะกรรมการคัดสรรสุดยอดผลิตภัณฑ์หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ของ จ.แม่ฮ่องสอน ในปีนี้


       ดาริณี รณะบุตร ประธานกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรเมืองสามหมอก บอกว่า ที่ผ่านมาทางกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรเมืองสามหมอกแปรรูปเมล็ดงาทำเป็นขนม "งาโหย่ว" และถั่วเหลืองทอด จนเป็นที่เป็นที่รู้จักของนักบริโภคอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะขนมงาโหย่ว เนื่องจากได้รับการคัดเลือกเป็นสินค้าโอท็อปทั้ง 3 ดาว 4 ดาว และ 5 ดาว กระทั่งต้นปีที่แล้ว (ปี 2554) ได้ทดลองนำผลิตภัณฑ์ "ป๊อปคอร์นไทยใหญ่" ไปลองขายงานมหกรรมสินค้าโอท็อปที่ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค อารีน่า เมืองธานี จำนวน 400 ถุงปรากฏว่าขายจนเกลี้ยง หลังจากนั้นก็นำไปขายงานโอท็อปอีกหลายครั้ง ได้รับความสนใจจากลูกค้าเป็นอย่างดี เพราะผู้บริโภคไม่เคยเห็นสินค้าประเภทนี้มาก่อน

       "ที่จริงป๊อปคอร์นไทยใหญ่ไม่ใช่ของใหม่หรอกค่ะ ตามปกติชาวไทยใหญ่ทำมานานแล้ว คือนำข้าวโพดเหนียวสีม่วง ที่เรียกง่ายๆว่าข้าวโพดสีม่วง หรือบางคนเรียกว่าข้าวโพดสีดำ ที่ชาวไทยใหญ่และชาวเขาเผ่าลีซอปลูกเป็นอาชีพอย่างหนึ่ง โดยเอาเมล็ดข้าวโพดสีม่วงมาคั่วกับน้ำมันงา แล้วมาผสมเกลือให้เด็กๆ กินเล่น สำหรับคนจนในพื้นที่ แต่ฉันเห็นว่าข้าวโพดสีม่วงมีคุณประโยชน์ทางด้านโภชนาการ ทางกลุ่มแม่บ้านเราจึงนำมาแปรรูปเป็นผลิตใหม่ของกลุ่ม แรกๆ ขายในท้องถิ่น แต่หลังจากไปขายในงานโอท็อปที่เมืองทอง ปรากฏว่าได้การตอบรับเป็นอย่างดี อย่างไม่น่าเชื่อ และระยะหลังเวลาไปออกงานโอท็อปที่ไหนก็ดีทุกครั้ง กลายเป็นผลิตภัณฑ์ดาวรุ่งของกลุ่มในขณะนี้" ดาริณี กล่าว

       ประธานกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรเมืองสามหมอก บอกอีกว่า หลังจากป๊อปคอร์นไทยใหญ่เป็นที่รู้จักมากขึ้น ทำให้วันนี้ทางกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรเมืองสามหมอกมีออเดอร์เข้ามาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้นัดท่องเที่ยวที่มาเที่ยวใน จ.แม่ฮ่องสอน จะถามหาสินค้าป๊อปคอร์นไทยใหญ่มาตลอด ทางกลุ่มต้องผลิตอย่างน้อยวันละ 300-400 ถุง เป็นถุงขนาดน้ำหนัก 80 กรัม ขายส่งในราคา 35 บาท ขายปลีก 40 บาท ปัจจุบันมีวางในพื้นที่แม่ฮ่องสอนพร้อมกับสินค้าตัวเดิม ไม่ว่าจะเป็นขนมงาโหย่ว และถั่วเหลืองทอด อาทิ หจก.ภาสว่าง ตลาดสายหยุด ศูนย์โอท็อป จ.แม่ฮ่องสอน นอกจากนี้ส่งขายในตลาดวโรรสเชียงใหม่ ศูนย์ศิลปชีพ 904 โครงการสายใยรักแห่งครอบครัว ร้านสันติอโศก ร้านพลังบุญ ร้านสมุนไพร จ.ยะลา ร้านของฝากลำปาง รวมถึงงานแสดงสินค้าโอท็อปที่รัฐบาลจัด เป็นต้น

       "ป๊อปคอร์นไทยใหญ่ เป็นผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ ที่ยังไม่ได้โอท็อป แต่ปีนี้เราส่งเข้าประกวดในโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ถ้าผลิตภัณฑ์ตัวนี้ได้โอท็อป ตลาดไปได้สวยแน่นอน เพราะตอนนี้ถือว่าเป็นสินค้าที่ขายพอๆ กับขนมงาโหย่วแล้ว ทั้งๆ ที่เราเพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการไม่ถึง 2 ปี" เธอกล่าวอย่างมั่นใจ


       ด้าน เทอดศักดิ์ ปิติวุฒิ กรรมการผู้จัดการ หจก.ภาสว่าง ผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปในพื้นที่ จ.แม่ฮ่องสอน รวมถึงป๊อปคอร์นไทยใหญ่ บอกว่า จะรับผลิตภัณฑ์จากกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรเมืองสามหมอกมาทำการตลาด ไม่ว่าจะเป็นขนมงาโหย่ว ถั่วเหลืองทอด และป๊อปคอร์นไทยใหญ่ ซึ่งเป็นผลิตตัวใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อต้นปีที่แล้ว แต่ตอนนี้สามารถขายได้ไม่แพ้ขนมงาโหย่ว ถั่วเหลืองทอด แต่ละวันจะขายได้เฉลี่ยที่วันละ 400 ถุง สังเกตดูจากที่นักท่องเที่ยวเข้าไปชิม จำนวน 10 คนต้องซื้อป๊อปคอร์นไทยใหญ่ถึง 8 คน เพราะรสชาติอร่อย กรอบ มันเค็มนิดๆ เมล็ดไม่บานเหมือนป๊อปคอร์นทั่วไป

       ขณะที่ สมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวระหว่างพาสื่อมวลชนไปดูงานสหกรณ์ที่ จ.แม่ฮ่องสอน ว่า ต่อไปจะเน้นในเรื่องการสร้างเครือข่ายสหกรณ์ให้เข้มข้นขึ้น ผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาสหกรณ์ด้วยกันที่เอื้อประโยชน์ ให้การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยไม่ต้องผ่านระบบการจัดการของคนกลาง ดั่งเช่นสหกรณ์แม่ฮ่องสอน ที่มีผลิตภัณฑ์หลากหลาย เช่น ถั่วเหลืองคั่ว กระเทียม รวมทั้งป๊อปคอร์นไทยใหญ่ ทำแปรรูปมาจากข้าวโพดข้าวเหนียวม่วง ถือเป็นผลิตผลทางการเกษตรจากเกษตรกรในพื้นที่ แต่สามารถกระจายสินค้าส่งไปขายได้ทั่วทุกภาคของประเทศ

       แม้ "ป๊อปคอร์นไทยใหญ่" จะเป็นขนมขบเคี้ยวสำหรับเด็กที่มีฐานะยากจน ในท้องถิ่น จ.แม่ฮ่องสอน แต่ถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ของคนถิ่นอื่น แต่แต่ด้วยความแปลกใหม่ รสชาติที่อร่อยชนิดไม่มีใครเหมือน ทำให้วันนี้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่กำลังมาแรงของกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรเมืองสามหมอก

--------------------
เคล็ดลับง่ายๆ ทำกินเองได้

       พันธิพา ปิติวุฒิ สมาชิกกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรเมืองสามหมอก บอกถึงขั้นตอนในการผลิตป๊อปคอร์นไทยใหญ่ว่า หลังจากนำวัตถุดิบคือข้าวโพดเหนียวสีม่วง ซึ่งมีการปลูกในพื้นที่ มาแกะเมล็ดออก จากนั้นนำไปผึ่งแดดให้แห้ง สามารถเก็บไว้ได้นาน

       เมื่อจะนำมาทำเป็นป๊อปคอร์นไทยใหญ่ก็นำเมล็ดข้าวโพดเหนียวที่ตากแห้งมาแช่น้ำ 1 คืน สะเด็ดน้ำให้แห้ง เอากระทะขึ้นเต่าถ่านไฟร้อนปานกลางใส่น้ำมันงาเกินครึ่งกระทะ (น้ำมันให้เยอะ) แล้วเอาเมล็ดข้าวโพดลงไป ใช้ฝาที่นูนครอบ

       ระหว่างนั้นจะมีเสียงเมล็ดข้าวโพดแตกดังเป็นระยะ รอจนกว่าเสียงเงียบ จึงตักใส่กระด้ง โรยด้วยเกลือป่น ปริมาณ 1% ของปริมาณของเมล็ดข้าวโพด แล้วนำมาใส่ถุงซีนปิดอากาศเพื่อรักษากลิ่นหอมและความกรอบ ก็สามารถส่งจำหน่ายให้กลุ่มผู้บริโภคได้  โดยข้าวโพดเหนียวสีม่วง 20 ฝัก ได้เมล็ดข้าวโพด 1 ลิตร   สามารถนำมาทำป๊อปคอร์นได้ 50 ถุง

       สำหรับข้าวโพดข้าวเหนียวม่วงมีคุณค่าทางโภชนาการ ประกอบด้วย คลอโรฟิลล์ ออกซิเจน ช่วยฟอกเลือด สร้างเม็ดเลือด ช่วยระบบหมุนเวียนโลหิต มีแอนโทไซยานิน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้อัตราการเสื่อมสภาพของเซลล์ในร่างกายลดลง ทำให้แก่ช้ากว่าวัย นอกจากนั้นยังมีสารช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคมะเร็งต่างๆ ช่วยให้ร่างกายต่อต้านเชื้อโรค ช่วยสมานแผลและเสริมสร้างการทำงานของสมอง เหมาะสำหรับทุกวัย อีกทั้งเป็นการนำเสนอของดีประจำท้องถิ่นอีกด้วย

--------------------
'ป๊อปคอร์นไทยใหญ่' จากข้าวโพดม่วง ผลิตภัณฑ์มาแรงจากเมืองสามหมอก : โดย...ดลมนัส  กาเจ หนังสือพิมพ์ คม ชัด ลึก

วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2555

สตีฟ จ็อบส์ 2

18 เรื่อง(ส่วนตัว)ที่คุณไม่เคยรู้เกี่ยวกับ สตีฟ จ็อบส์ 2

      หลังจากที่เราพูดถึง 18 เรื่องส่วนตัวไปก่อนหน้านี้แล้วครึ่งหนึ่ง วันนี้เรามาตามเอาส่วนที่เหลือกันนะคะ ^^



      10.จ็อบส์ให้คำแนะนำกับแลร์รี เพจว่ากูเกิลกำลังจะกลายเป็นไมโครซอฟท์ ทั้งๆ ที่จ็อบส์ไม่ลงรอยกับเอริค ชมิดท์ อย่างไรก็ตาม จ็อบส์ได้ให้คำแนะนำแก่แลร์รี เพจในเรื่องเกี่ยวกับกูเกิล จ็อบส์บอกกับเพจว่ากูเกิลกำลังจะกลายเป็นไมโครซอฟท์ ดังนั้นจงรักษาผลิตภัณฑ์ที่ดีของกูเกิลไว้เพียง 5 อย่าง แล้วกำจัดสิ่งที่เหลืออกไป หาให้พบว่าต้องการให้กูเกิลเติบโตไปเป็นอะไร

       11.จ็อบส์กล่าวกับโอบามาว่า เขาจะสามารถดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีได้วาระเดียว จ็อบส์เคยกล่าวว่า บารัค โอบามาจะสามารถดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีได้เพียงสมัยเดียวเท่านั้น จ็อบส์มองว่านโยบายที่ไม่เป็นมิตรต่อระบบธุรกิจในประเทศของโอบามาคือปัญหาหลัก อย่างไรก็ตาม โอบามาและจ็อบส์ก็ยังคงติดต่อกันเรื่อยมา จ็อบส์เสนอช่วยการหาเสียงการเลือกตั้งของโอบามาที่จะมีขึ้นในปี 2012

       12.จ็อบส์กล่าวกับไอแซคสันว่าเขามีความลับของผลิตภัณฑ์ตัวต่อไปของแอปเปิ้ล ไอแซคสันกล่าวว่า โครงการใหญ่ของจ็อบส์กับผลิตภัณฑ์ตัวต่อไปของแอปเปิ้ลคือโทรทัศน์ที่รวบรวมอุปกรณ์เทคโนโลยีทุกสิ่งไว้ในเครื่องเดียวกัน ไม่ว่าจะการใช้งานคอมพิวเตอร์ เครื่องเล่นดนตรี และโทรศัพท์ ซึ่งเป็นอะไรที่เรียบง่ายแต่หรูหรา

       13.จ็อบส์ทิ้งดีไซน์ชิ้นแรกของสำนักงานแอปเปิ้ลแห่งที่สองที่เป็นแคมปัสในคูเปอร์ติโนเพราะลูกชายของเขาคิดว่าการออกแบบดังกล่าวมีลักษณะคล้ายอวัยวะเพศชาย

       14.จ็อบส์ผิดหวังกับการตอบรับไอแพดที่ไม่ดีเท่าที่ควร เมื่อไอแพดออกวางจำหน่าย ผู้คนหลายคนกล่าวว่ามันไม่ค่อยเป็นที่ประทับใจเท่าไรนัก เพราะไม่ค่อยมีความจำเป็น จ็อบส์ได้รับอีเมลกว่า 800 ฉบับจากผู้บริโภคที่ตำหนิในเรื่องดังกล่าว

       15.เกือบจะไม่มี ”แอพ” ต่างๆ ที่ใช้งานกันอยู่ทุกวันนี้ จ็อบส์ตัดสินใจได้อย่างถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องแอพพลิเคชั่น ในตอนแรกนั้นเขาปฏิเสธการใช้งานของ “แอพ” ต่างๆ เนื่องจากเกรงว่าทีมงานแอปเปิ้ลจะไม่สามารถแก้ปัญหาความซับซ้อนของระบบได้ แต่หลังจากที่คณะกรรมการบริหารแอปเปิ้ลเรียกร้องอยู่หลายต่อหลายครั้ง ในที่สุด เขาก็เปลี่ยนใจ

       16.จ็อบส์รู้สึกเสียใจที่ตัดสินใจไม่เข้ารับการผ่าตัดรักษามะเร็งตับอ่อน ภายหลังจากที่จ็อบส์พบว่าตนเองป่วยเป็นมะเร็งตับอ่อนในปี 2004 เขาตัดสินใจไม่เข้ารับการรักษาผ่าตัด ซึ่งต่อมาเขารู้สึกเสียใจที่ตัดสินใจเช่นนั้น จ็อบส์กล่าวกับไอแซคสันว่า เขาเลื่อนการผ่าตัดออกไปเพื่อไปรับการรักษาตามแนวทางอื่น เนื่องจากเขาไม่ต้องการให้ร่างกายของเขาถูกเปิดออกหรือมีอะไรเข้าไปจัดการในร่างกายของเขาด้วยวิธีการเช่นนั้น

       17.จ็อบส์กล่าวกับจอห์น สกัลลี ว่าเขาคิดว่าความตายเข้าใกล้เขาอยู่ในทุกขณะ จ็อบส์กล่าวกับซีอีโอแอปเปิ้ลคนก่อน จอห์น สกัลลีว่า เขาคิดว่าเขาต้องทำเรื่องต่างๆ ให้แล้วเสร็จในช่วงเวลาอันน้อยนิดที่เขามีเหลืออยู่ จ็อบส์กล่าวว่า พวกเรามีเวลาอันน้อยนิดบนโลกใบนี้ เรามีโอกาสที่จะทำสิ่งต่างๆ ที่น้อยนิดนี้ให้ยิ่งใหญ่และทำมันให้ดี ไม่มีใครรู้ว่าเราจะมีชีวิตอยู่ได้นานเท่าไหร่ แต่เขารู้สึกว่าเขาจะต้องทำมันให้สำเร็จในขณะที่เขายังเยาว์วัยอยู่

       18.สิ่งเดียวที่สตีฟ จ็อบส์ร้องขอเกี่ยวกับหนังสือชีวประวัติของเขาคือ หน้าปกหนังสือ สำหรับจ็อบส์แล้ว การนำเสนอคือทุกสิ่งทุกอย่าง เขาสัญญากับวอลเตอร์ ไอแซคสันว่าจะไม่เหลือบดูในสิ่งที่เขาเขียน แต่สิ่งเดียวที่จ็อบส์ร้องขอคือ ปกหนังสือจะต้องดูดีที่สุด

ที่มา: businessinsider.com

สตีฟ จ็อบส์ 1

18 เรื่อง(ส่วนตัว)ที่คุณไม่เคยรู้เกี่ยวกับ สตีฟ จ็อบส์ 1

       ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เรื่องราวชีวิตของสตีฟ จ็อบส์ ได้ค่อยๆ ถูกเปิดเผยให้โลกรู้ บางเรื่องก็สร้างความประหลาดใจไม่น้อยเลยทีเดียว ในครั้งนี้วอลเตอร์ ไอแซคสัน จะมาเปิดเผยเรื่องราวชีวประวัติของสตีฟ จ็อบส์ 18 สิ่งที่คุณยังไม่เคยรู้! ที่มาจากบทสัมภาษณ์กว่า 40 ครั้งของเขา ผู้ก่อตั้งบริษัทแอปเปิ้ลอันโด่งดัง สตีฟ จ็อบส์


       1.หากจ็อบส์ยังไม่ได้เริ่มก่อตั้งบริษัทแอปเปิ้ล ก็ยังมีงานอื่นรอเขาอยู่อีก และงานนั้นก็คือ การเป็นนักกวีในเมืองปารีส

       2.จ็อบส์เลิกไปโบสถ์ตั้งแต่อายุ 13 ปี เมื่อจ็อบส์อายุ 13 ปี เขาเห็นรูปเด็กผู้หิวโหยอยู่บนปกนิตยสาร Life เขาจึงถามคุณครูว่า พระเจ้ารู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเด็กๆ เหล่านั้น หลังจากนั้นมา จ็อบส์ไม่เคยกลับไปยังโบสถ์นั้นอีก และไม่ได้กลับไปนับถือศาสนาคริสต์อีกเลยนับแต่นั้นมา

       3.จ็อบส์สูบบุหรี่ครั้งแรกอายุ 15 ปี หลังจากนั้นเขาได้ลองใช้ยาหลอนประสาท จ็อบส์ค้นพบแรงบันดาลใจจากหลายๆ สิ่ง หนึ่งในนั้นคือยา เมื่ออายุได้ 15 ปี จ็อบส์เริ่มสูบกัญชา และก่อนที่จะจบการศึกษาระดับมัธยมปลาย จ็อบส์ได้ลองใช้ยาหลอนประสาทชนิดหนึ่ง (LSD) จ็อบส์กล่าวว่ามันเป็นประสบการณ์ที่สำคัญในชีวิตเลยทีเดียว

       4.จ็อบส์มีข้อมูลที่ดาวน์โหลดมาไว้ในไอพอดน้อยมาก และเขาดาวน์โหลดหนังสือมาไว้ในไอแพดเพีบงเล่มเดียวในไอพอดของจ็อบส์มีบทเพลงของ Bob Dylan และนักเชลโล่ชื่อดังก้องโลกอย่าง Yo-Yo Ma และหนังสือเพียงเล่มเดียวที่อยู่ในไอแพดของเขาคืออัตชีวประวัติของโยคี จ็อบส์อ่านสิ่งนี้ทุกๆ ปี ตั้งแต่เมื่อครั้งที่เขายังเป็นวัยรุ่น

       5.จ็อบส์คิดว่าผู้คนส่วนมากสามารถถูกแทนที่ได้ แต่นั่นไม่ใช่กับดีไซเนอร์อย่าง โจนาธาน ไอฟ
โจนาธาน ไอฟ คือนักออกแบบผลิตภัณฑ์ของแอปเปิ้ล ผู้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงาน จ็อบส์ถึงกับกล่าวว่าไอฟ คือผู้ร่วมงานทางจิตวิญญาณของเขา

       6.สตีฟ จ็อบส์ และพ่อที่แท้จริงของเขาเจอกันก่อนที่จะรู้ว่าทั้งสองมีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกัน ดังที่เราได้รับรู้ว่าจ็อบส์ถูกรับเลี้ยงโดยพ่อแม่บุญธรรม พ่อที่แท้จริงของจ็อบส์เป็นเจ้าของร้านอาหารแห่งหนึ่ง น้องสาวร่วมสายเลือดของจ็อบส์ โมนา ซิมป์สัน เคยบอกจ็อบส์ว่า พ่อเคยพูดกับเธอว่า อยากให้ลูกๆ เห็นเขาในวันที่เขามีร้านอาหารที่ใหญ่โตกว่านี้ แต่จ็อบส์ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ และไม่ค่อยกล่าวถึงเรื่องนี้มากนัก

       7.บิล คลินตัน เคยขอคำปรึกษาจ็อบส์เกี่ยวกับเรื่องอื้อฉาว โมนิก้า เลวินสกี้ เมื่อครั้งที่บิล คลินตัน ดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ เขาเคยโทรศัพท์ขอคำปรึกษาสตีฟ จ็อบส์ เกี่ยวกับเรื่องอื้อฉาวที่มีข่าวกับโมนิก้า เลวินสกี้ สิ่งที่จ็อบส์ให้คำแนะนำไปคือ “ผมไม่รู้ว่าคุณทำสิ่งนั้นหรือไม่ แต่หากเป็นเช่นนั้น คุณควรบอกให้ประเทศรับรู้”

       8.จ็อบส์ เกลียดเอริค ชมิดท์ เพราะจ็อบส์คิดว่าเขาคือผู้ที่ขโมยแอนดรอยด์ จ็อบส์ไม่ชอบเอริค ชมิดช์ เพราะจ็อบส์รู้สึกว่า กูเกิลขโมยแนวคิดจากไอโฟนไปสร้างแอนดรอยด์

       9.เมื่อฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา จ็อบส์เริ่มพบปะผู้คนที่เขาอยากพบก่อนตาย หนึ่งในนั้นคือบิล เกตส์
จ็อบส์ไม่ค่อยถูกชะตากับเกตส์เท่าไรนัก จ็อบส์เคยกล่าวว่าบิล เกตส์เป็นคนที่ไม่มีจินตนาการ และเขาไม่เคยคิดค้นอะไรใหม่ๆ เลย ในขณะที่เกตส์เองก็กล่าวว่าจ็อบส์เป็นคนที่แปลก เขาไม่รู้อะไรมากมายนักเกี่ยวกับเทคโนโลยี แต่เกตส์ก็ยอมรับว่าจ็อบส์เป็นผู้ที่มีสัญชาตญาณในงานที่เขาทำอย่างน่าทึ่ง

ที่มา: businessinsider.com

วันพุธที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ถั่วลิสง ถั่วลาย ประโยชน์ที่เราไม่เคยรู้


       สวัสดีตอนเช้าๆ ค่ะเพื่อนๆชาวไอหมอก วันนี้ตื่นมาไอหมอกก็รู้สึกชักอยากกินถั่วลิสงขึ้นมาซะอย่างงั้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเนอะ? .. แต่นึกขึ้นได้ว่าทางคุณเทอดศักดิ์ จาก หจก.ภาสว่าง เค้าเอาขนมขบเคี้ยวชื่อ "คั่วกรอบ" มาฝาก แต่วันนี้เป็น "ถั่วลิสง" ค่ะไม่ยักกะรู้ว่าเครือคั่วกรอบจะมีถั่วลิสงด้วย เห็นว่าเค้ามีชื่อเรื่องถั่วเหลืองคั่วกรอบ ป๊อปคอร์นไทยใหญ่ ช้าอยู่ทำไมจัดการให้หมดถุงเลยสิคะ อิอิ หลังจากกินเรียบร้อยแล้วเราก็อยากรู้ว่า ในถั่วลิสงนี้มีประโยชน์อะไรต่อร่างกายบ้าง ไอหมอกจึงนำเอาความรู้เกี่ยวกับถั่วลิสงมาฝากทุกท่านกันค่ะ


       สถิติของวิทยุ BBC บอกว่าอายุเฉลี่ยของผู้ชายไทย 66 ปี ผู้หญิงไทยอายุเฉลี่ย 74 ปี น่าสังเกตว่าผู้ชายไทยใช้ชีวิตเปลืองมาก อาจรวมการตายจากอุบัติเหตุและการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ที่มากเกินไป ซึ่งผู้หญิงก็เสื่องต่อโรคอ้วนมากขึ้น เป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ มีอาการหนักถึงขั้นเส้นเลือดแตก อุ่ย!! ฟังดูแล้วแอบน่ากลัวนะคะ -*-

       จากการศึกษาประโยชน์ของถั่วนานาชนิด จะพบว่าในถั่วเมล็ดแห้งมีไขมันที่ดี ไม่เกาะเส้นเลือด ช่วยลดคลอเลสเตอรอลที่เป็นตัวการทำให้เส้นเลือดตีบ ไม่ต้องห่วงคลอเลสเตอรอลในอาหาร ถ้าอาหารมาจากพืชจะไม่มีคลอเลสเตอรอล อาหารที่มาจากสัตว์มีคลอเลสเตอรอลมากบ้างน้อยบ้าง แต่ไขมันในถั่ว เช่นถั่วลิสง ถั่วเหลือง เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ถั่วปากอ้า เป็นไขมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดที่มีประโยชน์ ที่เดี๋ยวนี้พูดกันสั้น ๆ ว่าโอเมก้า 3 ความจริงเป็นกรดไขมันที่แตกตัวได้ง่าย ที่ตำแหน่งที่ 3 จากท้ายสุดของโมเลกุล กินกรดไขมันพวกนี้แล้วร่างกายไม่สะสมคลอเลสเตอรอลจึงแนะนำกันให้กินถั่วแทนเนื้อสัตว์ในบางมื้อ

       ถั่วเมล็ดแห้งมีไขมันอยู่มาก กินแล้วอิ่มทน มีโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตด้วย จึงเป็นอาหารที่ให้สาร
อาหารหลายชนิด คนที่อายุยืนทั้งหลายมักจะให้สัมภาษณ์ว่า กินถั่วเมล็ดแห้งเป็นประจำ อาจจะกินเป็นเม็ด กินเป็นเต้าหู้ หรือกินถั่วอบกรอบ ฝรั่งกินขนมปังกับเนยถั่วเป็นอาหารหลัก เนยถั่วทำจากถั่วลิสงบดจนเนียนนุ่ม ปรุงรสเค็มเล็กน้อย ทาขนมปังกินได้เร็วเป็นอาหารเช้าหรืออาหารว่าง อิ่มทน อร่อยและมีประโยชน์


       คนไทยกินถั่วลิสงต้ม ถั่วทอด ถั่วลิสงอิ่มนานกว่ากินข้าว ในถั่วลิสงมีน้ำมันมากกว่าในเนื้อสัตว์หลายชนิด เมื่อเติมถั่วลิสงคั่วบดลงในก๋วยเตี๋ยวต้มยำ จะอิ่มมากกว่ากินก๋วยเตี๋ยวธรรมดา ถั่วเหลืองที่ใช้ทำเนื้อเทียมเป็นโปรตีนที่ดีมาก กินถั่วอบ ถั่วคั่ว ถั่วทอด เป็นอาหารว่างทุกวัน ช่วยลดไขมันในเลือด ใช้เป็นอาหารเรียกน้ำย่อยได้ดี ทำให้หิวอาหารน้อยลง กินอาหารอื่นๆน้อยลง ผู้จัดอาหารงานเลี้ยงมักจะมีถั่วทอดเป็นอาหารเรียกน้ำย่อย ถึงแม้ว่าอาหารจะมาช้า แขกยังไม่หิวมาก แขกอิ่มอาหารเร็ว ไม่เปลืองอาหารที่เลี้ยง

       โอ้โห อะไรจะมีคุณประโยชน์ได้มากขนาดนั้น อืมม.. น่าคิดนะคะ แต่ไอหมอกชอบที่เค้าบอกว่า ผู้จัดงานเลี้ยงมันจะนำถั่วทอดมาเป็นอาหารเรียกน้ำย่อย เนื่องจากถั่วทำให้กินอาหารได้น้อยลง ทำให้ไม่เปลือง --> มันเป็นอะไรที่โดนใจนะคะ เดี๋ยวเอาไปใช้มั่ง ^^  แต่การเลือกรับประทานอาหารที่ดี ต้องควบคู่กับการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง และการได้รับอากาศบริสุทธิ์ จึงจะทำให้สุขภาพของทุกท่านแข็งแรงอย่างยั่งยืนนะคะ ด้วยรักและห่วงใย จากใจไอหมอกน๊าาาา :)

ขอบคุณความรู้ดีดีจาก ... horapa.com

วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555

งาโหย่ว-ป๊อปคอร์นไทยใหญ่ สหกรณ์เมืองสามหมอก


       จากการที่เกษตรกรถูกเอารัดเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลางกดขี่เรื่องราคากันมานั้น ทำให้เกษตรกรจึงเกิดไอเดียในการรวมตัวกันเพื่อให้เป็นธุรกิจชุมชนเข้มแข็งขึ้นมากมายหลายกลุ่ม อาทิเช่น กลุ่มวิสาหกิจชุมชน กลุ่มแม่บ้าน และกลุ่มสหกรณ์ เพื่อจับมือกันในการบริหารกิจการท้องถิ่นให้เจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง และก้าวเข้าสู่การเป็นสินค้าเมืองสามหมอกอย่างเต็มประสิทธิภาพและยั่งยืน

       นางดาริณี รณะบุตร ประธานกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรเมืองสามหมอก กล่าวว่า ทางกลุ่มฯ ได้นำงาซึ่งปลูกกันมากในแม่ฮ่องสอนที่มีผลผลิตล้นตลาดทำให้ราคาตกต่ำนำมาแปรรูปเป็นขนมงาหรือในภาษาไทใหญ่เรียกว่า “งาโหย่ว” จากภูมิปัญญาบรรพบุรุษชาวไทใหญ่ ด้วยการนำงาที่คั่วแล้วมาคลุกกับน้ำผึ้งหรือน้ำอ้อยแล้วเคี่ยวในกะทะจนงวด แล้วเทลงในถาดไม้แห้งแล้วจึงตัดขายมานาน ตั้งแต่รุ่นปู่ย่า จนมาถึงตนซึ่งเป็นผู้สืบทอดรุ่นที่ 3 จึงได้เพิ่มรสชาติให้มีความหลากหลายมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค เช่น งาโหย่วน้ำผึ้ง งาโหย่วขิง งาโหย่วตะไคร้ ฯลฯ โดยผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้รับความนิยมจากผู้บริโภคที่รักษ์สุขภาพเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นจึงได้คิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อเพิ่มช่องทางการตลาด โดยนำข้าวโพดสีม่วง หรือข้าวโพดข้าวเหนียวดำ มาคั่วกับเตาถ่านแบบโบราณ โรยด้วยเกลือป่น ทำให้มีกลิ่นหอม กรอบอร่อย จนติดตลาดได้รับความนิยมจากผู้บริโภคอย่างรวดเร็ว ภายใต้แบรนด์ “ป๊อบคอร์นไทยใหญ่”

                                       

       “ป๊อปคอร์นไทยใหญ่ หรือข้าวโพดคั่ว ในพื้นที่หลายคนมองว่าเป็นของกินเล่นสำหรับคนจน แต่จริงๆ แล้วมีคุณประโยชน์มากมาย ทางกลุ่มฯ จึงนำมาแปรรูป โดยมีสหกรณ์แม่ฮ่องสอนเข้ามาช่วยสนับสนุน เราใช้ข้าวโพดพันธุ์ข้าวเหนียวดำ ซึ่งในพื้นที่มีการ ปลูกกันมากเป็นข้าวโพดใหม่แกะเมล็ด ผึ่งแดดให้แห้ง แล้วนำไปแช่น้ำ 1 คืน หลังจากนั้นนำมาคั่วด้วยไฟอ่อนจากเตาถ่าน เสร็จแล้วนำมาพักแล้วโรยด้วยเกลือป่น นำมาใส่ถุงซีนปิดอากาศเพื่อรักษากลิ่นหอมและความกรอบ ก็สามารถนำออกไปจำหน่ายให้กับลูกค้าได้แล้ว”

       กรรมวิธีการผลิตที่ยังคงรูปแบบโบราณ ด้วยการคั่วที่ใช้กระทะกับเตาถ่านนั้น นอกจากเป็นเสน่ห์ของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวแล้ว ยังช่วยให้มีป๊อปคอร์นของกลุ่มฯ มีกลิ่นหอม ต้นทุนการผลิตไม่สูง หลังทดลองเปิดตลาดแล้วกลุ่มผู้บริโภคให้การตอบรับเป็นอย่างมาก จากข้าวโพด 1 ลิตร ประมาณ 20 ฝัก เดิมขายราคาฝักละ 1 บาท สามารถนำมาทำป๊อปคอร์นได้ 50 ถุง ขายในราคาถุงละ 40 บาท ส่งขายทั้งในแม่ฮ่องสอน, เชียงใหม่, กรุงเทพฯ ทั้งตลาด อตก.จตุจักร, งานแสดงสินค้าเมืองทองธานี, ศูนย์ศิลปะชีพ 904 โครงการสายใยรักแห่งครอบครัว รวมทั้งผู้บริโภคจากภาคใต้ที่นิยมสั่ง เช่น ยะลา นราธิวาส เป็นต้น

       สหกรณ์เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตและชุมชน เมื่อสมาชิกมีความสามัคคีร่วมมือร่วมใจช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับกลุ่มฯ และคนชุมชนให้อยู่ได้ โดยไม่ต้องถูกเอารัดเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลางอีกต่อไป

ขอบคุณข้อมูลจาก .. หนังสือพิมพ์บ้านเมือง

ภาวะผู้นำแบบติดดิน 8


       วันนี้ก็เดินทางมาถึงตอนสุดท้ายของภาวะแบบติดดินในแบบของ กัปตันเรือ D.Michael Abrashoff กันแล้ว กับเทคนิคในการบริหารลูกน้องอย่างเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพ แต่อย่างไรเสีย ไอหมอกก็จะพยายามสรรหาบทความดีดีแบบนี้มาให้ทุกท่านได้อ่านกันอย่างต่อเนื่อง ไม่มีหยุดเลยล่ะค่ะ ขอเพียงแค่ทุกท่านอย่าทิ้งไอหมอกไปไหนก็แล้วกัน ไม่งั้นมีเคืองนะคะ อิอิ .. อ่ะ ไปดูกันอีกสักนิดว่า แนวคิดจาก กัปตันเรือ D.Michael Abrashoff  ข้อสุดท้ายที่ท่านแนะนำมาคืออะไร


** การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงมีความยั่งยืน **

       เรือหลายๆลำในกองทัพมีลักษณะไปในทางเดียวกันกับผู้บังคับบัญชาของพวกเขา แต่ผลและลูกเรือของผมไม่ห่วงเรื่องที่ผมจะย้ายไปประจำการที่อื่น เราได้ช่วยกันสร้างวงจรของการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงขึ้นมา มันทำให้ทุกคนรู้ว่าความทุ่มเทของเขามีผล ลูกเรือกลุ่มนี้สร้างผลงานที่ดีเยี่ยม และยังมีกำลังใจที่จะทำให้มันดียิ่งขึ้นอีก ทัศนคติของผมเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ เมื่อคุณเริ่มต้นการปฏิวัติสังคมขึ้นมาแล้ว คุณไม่สามารถหยุดมันได้อีกต่อไป ทุกคนบนเรือรู้ว่าพวกเขามีส่วนร่วมเป็นเจ้าขององค์กรนี้ เขารู้ว่าเขาจะได้อะไรถ้าเขาช่วยเหลือกันอย่างเต็มที่ เขามีความกล้าหาญที่จะยกมือขึ้นแสดงความคิดเห็นของเขา มันไม่สามารถเปลี่ยนกลับมาเป็นอย่างเก่าได้อีกแล้ว


ข้อสังเกต

       ในสงครามอ่าวเปอร์เซีย เรือ Banfold ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติภารกิจสำคัญมากมาย เพราะว่ามีข้อมูลการฝึกและผลงานการใช้อาวุธเป็นเยี่ยม และยังมีขวัญและกำลังใจสูงสุด Abrashoff พูดถึงหลักการที่ทำให้เขาประสบผลสำเร็จในการเป็นผู้นำดังนี้

1.คุยกับลูกเรือของคุณ
       ลูกเรือบนเรือ Benfold  รู้ว่าเมื่อใดที่เขาอยากจะบอกอะไร และ Abrashoff ก็พร้อมจะรับฟังพวกเขา ตั้งแต่การสัมภาษณ์ลูกเรือใหม่จนถึงการตรวจสอบคุณภาพอาหาร ผู้บัญชาการเรือลำนี้จะพยายามหาข้อมูลใหม่ๆ เกี่ยวกับคนของเขาอย่างสม่ำเสมอ เขารู้ว่าลูกเรือของเขามีปัญหาเกี่ยวกับหนี้สินอันเกิดจากบัตรเครดิต เขาจึงจัดให้มีผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการบริหารเงินมาให้คำแนะนำต่อลูกเรือ

2.อย่าหยุดที่ระเบียบการปฏิบัติงานมาตรฐาน
       เรื่อทั่วๆไปจะยึดกับระเบียบการมาตรฐาน ลูกเรือ Benfold จะไม่ยึดติดกับมันโดยไม่มีเหตุผล เพราะกัปตันของเขาจะถามอยู่บ่อยๆว่า “ทำไม?” เขาสันนิษฐานอยู่เสมอว่า มันน่าจะมีวิธีที่ดีกว่านี้ และทัศนคตินี้ค่อยๆ ซึมซับลงไปในระดับล่างๆ ด้วย

3.อย่ารอจนสถานการณ์คับขันแล้วจึงค่อยบอก
       การรับฟังคนอื่นเป็นเรื่องสำคัญ แต่การแสดงออกว่าคุณได้ยินสิ่งที่เขาพูดยิ่งสำคัญพอๆกัน Abrashoff มักจะพูดถึงสิ่งที่เขาคิดออกทางระบบกระจายเสียงประจำเรือ ลูกเรือของเขาสามารถเสนอความคิดเห็นอย่างหนึ่ง และทำให้มันเป็นจริงขึ้นมาในสัปดาห์ถัดไป ครั้งหนึ่งลูกเรือบอกกับเขาว่ามีปัญหาในการฝึกซ้อมการยิงปืบนบก เพราะสนามยิงปืนมีคนแน่นเกินไป ลูกเรือจึงเสนอกับเขาว่าน่าจะฝึกยิงปืนกันในช่วงที่ออกทะเล Abrashoff เห็นด้วยกับลูกเรือคนนั้นและจัดการทำมันทันที

4.เสริมสร้างคุณค่าคุณภาพชีวิต
       เรือ Benfold มีศิลปะในการสร้างขวัญและกำลังใจอย่างสูง Abrashoff จัดให้มีชั่วโมงคาราโอเกะบนเรือ หลังจากนั้นลูกเรือก็จัดให้มีการฉายวิดีโอเพลงโดยใช้ลำตัวเรือเป็นจอ นอกจากนนี้ยังมีการปลอมตัวเลียนแบบเอลวิส และร้องเพลง Blue Christmas ในช่วงเทศกาล ผลของมันก็คือ ในขณะที่เรือลำอื่นๆขาดแคลนกะลาสี เรือ Benfold กลับมีคนขอมาประจำการอย่างล้นหลาม

5.ผู้นำแบบติดดินไม่ได้แสวงหาการเลื่อนตำแหน่ง
       Abrashoff บอกว่าเขาไม่ได้พยายามทำงานเพื่อการเลื่อนตำแหน่ง ซึ่งทำให้เขาหลุดพ้นจากแรงกดดันที่คนทั่วๆไปมี ดังนั้นเขาจึงมีสมาธิที่จะมุ่งมั่นด้วยวิธีทำงานของเขา ผมไม่สนใจกับการเลื่อนตำแหน่ง มันทำให้ผมทำสิ่งที่ถูกต้องให้กบคนของผมได้ไม่เต็มที่ แต่การคิดและทำเช่นนี้ทำให้เขาได้รับการประเมินผลดีเยี่ยม และได้รับการแต่งตั้งไปสู่ตำแหน่งที่ดีมากในศูนย์ควบคุมยุทธการอวกาศและยุทธนาวี

ขอบคุณความรู้และแนวคิดที่ดีจาก .. PacRim Group และเครือธนาคารทหารไทย