วันอังคารที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2556

กรรมลิขิต

       สวัสดีค่ะเพื่อนๆที่น่ารักของไอหมอก .. ห่างหายไปนานมากเลย กับการเขียนบทความครั้งนี้ พอดีว่ามีภารกิจหลายอย่างที่ไอหมอกต้องทำและต้องตัดสินใจยาวเลย แต่แอบคิดถึงเพื่อนๆบ่อยๆนะคะ วันนี้เมื่ออะไรเริ่มเข้าที่ก็ต้องมาเขียนถึงเพื่อนๆอีกครั้งให้หายคิดถึง แต่ก็ไม่รู้นะคะว่ายังมีคนที่รออ่านบทความของไอหมอกเหมือนเดิมหรือเปล่า?? ^^


       คุณเชื่อมากน้อยแค่ไหนในคำว่า "กรรมลิขิต??" วันนี้ไม่ได้มาแบบดราม่านะคะ แต่มันคือความจริงที่เกิดขึ้นในทุกๆคนอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว ขึ้นชื่อว่ากรรมลิขิต เพื่อนๆอย่าเพิ่งไปคิดถึงแต่กรรมที่ทำให้เราเจ็บปวดอย่างเดียวนะคะ เพราะกรรมมีอยู่ 2 รูปแบบนั่นคือ กรรมดี และกรรมชั่ว ไอหมอกคงไม่ต้องอธิบายต่อนะคะว่าอะไรคือกรรมดี และกรรมชั่วที่ว่า เพราะเพื่อนๆคงรู้จักกันดีอยู่แล้ว วันนี้ไอหมอกอยากบอกว่า กรรมลิขิต เป็นส่วนสำคัญของชีวิตเราไปซะแล้ว หากนั่งๆคิดไตร่ตรองดูแล้วทุกอย่างมันถูกกำหนดไว้หมดแล้วว่า เราจะต้องไปทางไหน เราทุกคนมีหน้าที่ทำสิ่งที่กรรมลิขิตมานั้น กลับกลายเป็นกรรมดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะกรรมมี 2 ทางเสมอ หากเราเลือกทางแยกที่เป็นกรรมดี กรรมลิขิตสิ่งดีดีก็จะบังเกิดขึ้นตามนั้น

       บางทีเราต่อสู้มามากมาย สู้อย่างสุดชีวิตเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งๆหนึ่ง มาถึงตรงนี้ไอหมอกไม่อยากให้เพื่อนๆคิดถึงแต่เรื่องของความรัก แต่เรามามองกันที่ หนทางการเดินในชีวิตที่เราได้เลือกต่างหาก .. เคยมั้ยกับการที่เราดิ้นรน เพื่อให้ชีวิตเราไปตามเส้นนั้นเส้นนี้ เส้นที่เราเห็นว่าคนอื่นเดินแล้วดี แล้วทำไมเราจะเดินตามเค้าบ้างไม่ได้?? ... คำตอบง่ายๆ เราเห็นเค้าเดินแล้วสำเร็จ ไม่ผิดหรอกค่ะที่เราจะเลือกเดินตามอย่างเค้าบ้าง แต่โปรดอย่าลืมนะคะว่า สิ่งนั้นถ้ามันไม่เหมาะกับเรา เราก็ไม่มีทางได้มันมาครอบครอง ไม่ว่าจะตำแหน่งหน้าที่การงานใดๆที่เรามองเห็นว่า มันเริศหรูยังไงก็ตาม

       ครั้งหนึ่งไอหมอกตัดสินใจว่าจะไปใช้ชีวิตอยู่เมืองนอก เพื่อวางรากฐานของครอบครัวให้ดีตามที่ใจเราต้องการ ทำงานหาเงินส่งให้พ่อกับแม่เดือนละหลายๆหมื่น .. ฟังดูแล้วก็แน่ล่ะค่ะ คนที่ต้องทำเพื่อคนอื่นจะเข้าใจทันทีว่า เราต้องไป เราต้องเดิน เพราะเราเห็นว่าดี .. แต่เราถามพ่อแม่ของเราหรือยังว่า เค้าอยากได้เงินจากเรามากมายขนาดนั้นหรือไม่?? กับการที่ไอหมอกพูดถึง การตัดสินใจของไอหมอกในครั้งนี้ พ่อกับแม่ก็เกิดอาการนิ่ง แล้วพูดออกมาว่า "ท่านไม่ต้องการให้เราไปอยู่ไหนไกลๆ ไม่ต้องการเงินทองมากมาย อยากอยู่แบบมีความสุขอย่างที่เป็นมาของเรา มีแค่นี้ถือว่าดีแค่ไหนแล้ว ลูกไม่รู้บ้างหรือว่า พ่อกับแม่ต้องการอยู่กับลูก!!!" เกิดจุดนี้ ไอหมอกคิดทันทีว่า ใช่เราพยายามเดินในทางที่เห็นว่าดีต่อพวกเค้า ทำเพื่อพวกท่าน โดยเราลืมถามไปว่า ท่านต้องการอย่างที่เราคิดไว้หรือไม่ หรือท่านต้องการอะไร ไอหมอกจึงหยุดฟังเสียงของหัวใจตัวเอง แล้วเราก็ได้คำตอบ

       ไอหมอกเลือกที่จะอยู่เมืองไทย เพื่อให้ความต้องการกับครอบครัวที่น่ารัก และทำหน้าที่ลูกอย่างเต็มความสามารถ อยู่ดูแลท่านทั่งร่างกายและจิตใจ ถึงแม้ว่าไอหมอกจะเหนื่อยเพียงใด เราพร้อมที่จะยอมรับมัน .. แล้วกรรมก็ลิขิตให้เรามีทางเลือกที่ดีอย่างที่เราคาดไม่ถึง อาจเป็นเพราะแรงปรารถนาอันแรงกล้า และบุญของพ่อแม่ที่มอบให้ลูก ได้เริ่มส่งเสริมลูกให้เจอหนทางดีดี ทำให้เรามั่นใจว่าเราเลือกไม่ผิดที่จะอยู่ดูแลท่านที่นี่ บ้านเกิดของเราที่เป็นของเรา ที่นี้ก็ถึงเวลาที่จะแสดงความสามารถของคนเองจริงๆสักที

       เมื่อกรรมลิขิตมาแล้ว มักมีเหตุมีผลเสมอ เป็นกำลังใจให้เพื่อนที่กำลังรับฟังไอหมอกอยู่ตรงนี้ หากท่านกำลังผิดหวังกับสิ่งที่ท่านได้เลือก ขอให้ระลึกอยู่เสมอว่าสิ่งที่เราเลือกนั้น ย่อมมีสิ่งดีดีที่ถูกกำหนดไว้แล้ว รอเราอยู่เสมอ :)))


ขอบคุณภาพจาก หนังสือกรรมลิขิต

วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

20 ข้อ ที่ควรรู้และปฏิบัติก่อนอายุ 40


       1. ไม่ต้องตั้งใจเรียนมากไป เอาแค่พอใช้ได้ก็พอ เพราะ โลกแห่งความเป็นจริงวัดกันที่ผลงาน ไม่ใช่ที่เกรด
       2. การทำกิจกรรมในรั้วมหาวิทยาลัยนั้นสำคัญมาก พอๆ กับการคร่ำเคร่งหน้าตำราเรียน
       3. เลือกงานที่เราชอบนั้นใช่ แต่อย่าลืมด้วยว่า อาชีพนั้นสามารถเลี้ยงดูตัวเราได้จริงหรือเปล่า? ถ้าไม่ใช่ก็อย่าหลอกตัวเอง
       4. เมื่อถึงวัยทำงาน ใครเก็บเงินก่อน รวยเร็วกว่าและสิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้ คือ ชีวิตที่ไม่มีหนี้ คือชีวิตที่ประเสริฐที่สุด
       5. หาเป้าหมายในชีวิตให้เจอโดยเร็วที่สุด เพราะมันจะเป็นเครื่องนำทางของคุณในชาตินี้ตลอดไป
       6. ซื้อบ้านก่อน ที่จะซื้อรถ เพราะบ้านมีแต่จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น แต่รถมีแต่มูลค่าลดลง ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า รถ=ลด
       7. ดอกเบี้ยบ้านนั้นมหาโหดมาก รีบใช้ให้หมดโดยเร็วพลัน ก่อนที่จะแก่ แล้วผ่อนไม่ไหว
       8. การเก็บเงินเป็นแค่บันไดขั้นแรกสู่ความร่ำรวย แต่ขั้นต่อมา คือ ต้องรู้จักลงทุน
       9. อย่าเป็นศัตรูกับใครก็ตามบนโลกใบนี้ เพราะคุณจะไม่มีทางรู้ว่าวันหนึ่งเขาอาจจะยิ่งใหญ่มาก จนกลับมาทำร้ายคุณก็เป็นได้
       10. คอนเน็คชั่นหรือสายสัมพันธ์เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ต่อให้เก่งแค่ไหนก็สู้การมีเพื่อนเยอะไม่ได้
       11. ควรมีงานทำมากกว่า 1 งาน เพราะความมั่นคง ไม่เคยมีบนโลกใบนี้
       12. อย่าคิดว่าตัวเองทำอะไรได้แค่อย่างเดียว เพราะความสามารถของคนเรา มีมากกว่า 1 เสมอ
       13. เมื่อมีโอกาสใดก็ตามเข้ามา จงอย่าปฏิเสธ ถึงจะล้มเหลว แต่มันก็คือ ประสบการณ์
       14. สร้างเนื้อ สร้างตัวให้ได้เร็วที่สุด ในขณะที่คุณยังมีกำลัง ยังเป็นหนุ่ม-สาว เพราะการฝ่าฟันอุปสรรคในช่วงอายุมาก ไม่ใช่เรื่องสนุก
       15. ออกเดินทางท่องเที่ยวตั้งแต่ยังหนุ่มสาว เพราะเมื่อมีครอบครัวการเดินทางจะเป็นเรื่องยุ่งยากกว่าเดิม
       16. เลือกคู่ชีวิต จงคิดให้ดีๆ อย่าดูแต่ข้อดีของเขา แต่ต้องดูด้วยว่าเราสามารถรับข้อเสียของเขาได้มากแค่ไหน
       17. การมีแฟน หรือสามีภรรยา ยังเลิกกันได้ แต่ความเป็นพ่อแม่ลูกนั้นเลิกกันไม่ได้ เพราะฉะนั้น ควรดูแลพวกเขาให้ดีๆ
       18. ความสำเร็จที่มากมายแค่ไหน ก็ไม่สามารถทดแทนความล้มเหลวของครอบครัวได้
       19. ลองหาเวลาอยู่ว่างๆ ไม่ต้องทำอะไรเลยดูบ้าง อย่าแบกโลกทั้งใบไว้คนเดียว และอีกอย่างงานก็ไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต
       20. สุขภาพเป็นเรื่องสำคัญอันหนึ่ง โปรดถนอมตัวเองให้มาก เมื่อยังเป็นวัยรุ่น อย่าใช้ชีวิตให้หนักเกินไป

ที่มา: CreativeGuru Facebook

วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เลื่อนตัวเองขึ้น แต่อย่าลดคนอื่นลง

       อาจารย์คนหนึ่งชวนลูกศิษย์เดินไปตามชายหาด ช่วงหนึ่งของการสนทนา  อาจารย์ใช้ไม้เท้าขีดเส้นสองเส้นลงไปบนผืนทราย เป็นเส้นคู่ขนาน ยาว 5 ฟุต และ 3 ฟุต ตามลำดับ  อาจารย์กล่าวว่า "เธอลองทำให้เส้น 3 ฟุต ยาวกว่าเส้น 5 ฟุต ให้ดูหน่อยสิ"  ลูกศิษย์หยุดคิดครู่หนึ่ง แล้วตัดสินใจลบรอยเส้นที่ยาว 5 ฟุตนั้นให้สั้นลงจนเหลือเพียง 1 ฟุต จึงทำให้เส้น 3 ฟุตโดดเด่นขึ้นมา แล้วศิษย์ก็สบตาอาจารย์พลางขอความเห็นว่า "เช่นนี้ ใช้ได้หรือยังครับ?"

       อาจารย์เขกหัวศิษย์เบา ๆ แล้วบอกว่า "คนที่คิดจะยกตนเองให้สูงขึ้นโดยการทำร้ายคู่แข่งนั้น ไม่ใช่วิธีที่ดี ดังนั้นถ้าเลือกใช้วิธีนี้ชีวิตเธอก็มีแต่จะล้มเหลวไม่พัฒนา ทางที่ดีควรเลือกวิธีที่จะยกตัวเองขึ้น โดยไม่ไปลดคนอื่นลง"


       แล้วอาจารย์ก็ขีดเส้น 2 เส้นให้เท่าเดิม คือ 3 ฟุต และ 5 ฟุต แล้วอาจารย์ก็สาธิตให้ดูด้วยการขีดเส้น 3 ฟุตให้ยาวขึ้นเป็น 10 ฟุต แล้วกล่าวว่า "จงอย่าคิดว่าคู่แข่งของเธอคือศัตรู แต่ให้คิดว่าเป็นครูของเธอ ที่เธอจะต้องพัฒนาตนเองให้เทียบเท่าหรือดีกว่า เขาคือคนสำคัญที่จะทำให้เธอได้ก้าวไปข้างหน้าอย่างสง่างาม หากไร้คู่แข่ง แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเองมีศักยภาพในการทำงานขนาดไหน ไม่มีอัปลักษณ์ก็ไม่รู้จักสวยงาม นักสู้ที่ดีมักชื่นชมคู่ต่อสู้ที่เข้มแข้ง เพราะคู่ต่อสู้ที่อ่อนแอจะทำให้ชัยชนะของเขาไม่ยั่งยืนยง"

       "ดังนั้นเมื่อได้พบกับคู่แข่งที่แกร่งและฉลาดล้ำ ก็ยิ่งทำให้เรารู้จักขยับตัวเองขึ้นไปให้สูงส่งยิ่งขึ้น  คนที่พยายามจะเลื่อนตัวเองขึ้นไป โดยการฆ่าน้อง ฟ้องนาย และขายเพื่อน ถึงแม้จะทำให้สำเร็จ แต่นั่นก็เป็นความสำเร็จที่ปราศจากเกียรติคุณ ไม่อาจเอ่ยอ้างได้อย่างเต็มภาคภูมิ การเลื่อนตัวเองขึ้นไปโดยวิธีที่ไม่ชอบธรรม กับการเลื่อนตัวเองขึ้นไปโดยปล่อยให้คนอื่นได้ก้าวไปตามวิถีทางของเขาอย่างเสรีนั้น ย่อมมีผลลัพธ์ที่ต่างกัน"

       "การเลื่อนตัวเองขึ้นพร้อมกับลดคนอื่นลง เธออาจจะชนะ แต่ก็มีศัตรูเป็นของแถม แต่การเลื่อนตัวเองขึ้นโดยไม่ลดคนอื่นลง เธออาจเป็นผู้ชนะ พร้อมกับมีเพื่อนแท้เพิ่มขึ้นมากมาย  และหนึ่งในนั้นอาจเป็นคู่แข่งหรืออดีตศัตรูของเธอเองด้วย  เป็นสังคมแห่งความสำเร็จบนพื้นฐานของมิตรภาพโดยแท้"


แนะนำโดย : คุณปัญจกิตติ์  ปวงมาลา Softbankthai
ที่มา : http://www.pattanakit.net

วันพุธที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

รู้สึกแย่วันนั้น ทำฉันยิ้มในวันนี้

       เคยมั้ย ที่จะรู้สึกแย่กับคนๆหนึ่งในช่วงเวลาหนึ่งอย่างมากมาย .. สุดท้ายเมื่อเวลาผ่านไป เราก็ต้องกลับไปมองตรงจุดนั้นว่า ประเด็นที่เกิดความไม่พอใจในวันนั้นๆ มันคืออะไร?? ต้นเหตุของเรื่องเกิดจากสิ่งไหน? ใครเป็นสาเหตุ? ตัวเชื่อมคืออะไร? บทสรุปมันเป็นยังไง?  .. เคยมีอยู่ Case หนึ่งที่เกิดการทะเลาะกันอย่างรุนแรง ต่างคนต่างเนื่องด้วยเหตุผลเดียวกัน นั่นคือ “ความต้องการให้งานมันออกมาดีที่สุด” ฟังดูเหตุผลแล้ว ทุกคนเป็นผู้ใหญ่ซะจริงๆเลยนะคะ .. แต่รู้มั้ยว่านั่น มันคือข้ออ้าง ที่จะนำมาเถียงกัน อย่างเอาเป็นเอาตายนั่นเป็นเพียงแค่ อารมณ์อยาก “เอาชนะ” เพียงแค่นั้น .. ฟังดูแล้ว เหตุผลที่กล่าวมาดูเป็นเด็กอมมือไปเลยมั้ยคะ?


       เมื่อเกิดการโต้เถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตายไปแล้ว 1 ครั้ง แน่นอนการนั่งคุยกันในครั้งต่อๆไป สิ่งที่จะเดินนำหน้าคนเราก่อนมาคุยกัน มันไม่ใช่เรื่องงาน ไม่ใช่เหตุผล แต่เป็นการตั้งท่าว่า วันนี้ “ฉันต้องชนะ!!” และต้องสามารถล้มคุณด้วยคำพูดที่เสียดแทงเต็มที่อย่าง ที่ List ไว้แล้วทั้งคืนที่ผ่านมา เอาละสิ .. จะทำอย่างไรเมื่อความบ้าคลั่งเริ่มเกิด??!!

       ไอหมอกมานั่งย้อนคิดถึงสถานการณ์ที่ตนเองอยู่ในภาวะนั้นๆ มองแล้วช่างน่าเวทนาซะจริงๆ .. แน่ล่ะ ใครๆก็คิดว่า เราได้รับอารมณ์ไหนมา ก็ต้องตอบกลับเป็นร้อยเป็นพันเท่าถึงจะสาแก่ใจ เห็นมั้ยล่ะ? เมื่อความอยากจะ “สาแก่ใจ” เข้ามาครอบงำ ความพังพินาศก็จะเริ่มบังเกิดขึ้น (เอ๊ะ เริ่มสำบัดสำนวนไปละ) เพราะทุกคนมัวแต่มานั่งคิดว่า ทำอย่างไรก็ได้ให้มันวอดวายเป็นจุณ !!!! แต่ลืมคิดไปโดยสนิทใจเลยว่า "ระเบิดทุกลูก ก่อนที่จะสร้างความเสียหายวงกว้างนั้น มันต้องระเบิดตัวเองก่อนเสมอ" .. แล้วสุดท้ายเหลืออะไร?? ไม่เหลือสักอย่าง แม้แต่ความเป็นตัวของตัวเราเอง

       ไอหมอกถือว่าตัวเองเป็นคนที่โชคดี ที่วันหนึ่งมีเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเค้าทะเลาะกับเราเค้าบอกว่า “เธอก็เป็นซะอย่างเงี้ยตลอด แล้วใครจะอยากมาคุยด้วย สักแต่จะเอาชนะ สักแต่จะเอาความสะใจ ลองมองไปรอบๆตัวเองบ้างสิ ว่าแต่ละคนเค้าเอือมแค่ไหน??” (เค้าพูดมาประมาณนี้ จำคำพูดเป๊ะๆไม่ได้ ลืมซะงั้นอ่ะค่ะ) วินาทีนั้นไอหมอกปริ๊ดมากค่ะ .. จากไอหมอกเย็นๆ มึงเจอพายุฝนฟ้าคะนองแน่!!!! แล้วจากนั้นสีขาว ก็ต้องกลายเป็นสีดำเมื่อเกิดพายุ ถูกต้องมั้ยคะ? ... ทุกอย่างจบลงโดยความสาแก่ใจของเราเอง และสายตาพิฆาต >> หลังจากนั้นไม่เกิน 12 ชั่วโมง เราก็เริ่มกลับมานั่งย้อนมองตัวเราเอง เราเป็นแบบนั้นจริงๆหรอ?? ทบทวนสิ่งที่ทำได้เป็นข้อๆ ผลคือไม่พลาด ตามนั้น 100% แค่อยากเอาชนะ ไม่สนว่าจะผิดหรือถูก .. วันนี้ไอหมอกแค่อยากจะบอกว่า ขอบคุณความหวังดีในวันนั้น ที่ทำหน้าที่เป็นกระจกสะท้อนสิ่งต่างๆของเรา จาก Graphic Design คนหนึ่ง ที่เป็นคนเงียบๆ แต่พูดมาทีเสียดแทงไปถึงหัวใจ .. ขอบคุณนิว GD ที่ช่วยเตือนสติในวันนั้น เพราะนั่นเป็นการแสดงออกว่า คนที่พูดตรงๆ เป็นคนที่หวังดี ไม่ใช่ยิ้มยอมตามเรา แล้วเอาเราไปพูดลับหลังอย่างไม่จบสิ้น


       คนเราไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา หากไม่มีใครแทงก็ไม่รู้ว่าตัวเองเจ็บ หากไม่มีกระจกก็ไม่รู้ว่าตัวเองนั้นช่างโง่เขลาเสียจริง .. อารมณ์ไม่ยอมใคร จะเป็นมากในเด็กๆ ที่ปล่อยให้ EGO ในตัวเอง เข้ามาทำปฏิกิริยากับอารมณ์และความอยากเอาชนะแบบไร้สาระ (พูดอย่างกับการทดลองทางวิทยาศาสตร์)  เพราะทุกคนเข้าใจว่าตัวเองเก่ง .. นั่นแหละคนโง่!! ไอหมอกก็ไม่ต่างกัน แต่ดูๆแล้ว เมื่อพูดถึง “เด็กๆ” ความหมายมักจะตรงตัว นั่นหมายถึง ผู้ที่ยังไม่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ที่มากพอ แต่ไม้อ่อน ยังไงก้อต้องยอมรับฟังไม้ใหญ่ นั่นคือสิ่งหนึ่งที่เด็กๆ เค้าจะสามารถกลับมามองตัวเองและปรับปรุงตัวเองได้ ในขณะเดียวกัน เมื่อเหตุการณ์บ้าบอแบบนี้เกิดในผู้ใหญ่ล่ะ?? คุณคิดว่ายังไงกันค่ะ?? บางทีไอหมอกก็คิดว่า ผู้ใหญ่จะน่าสงสารตรงที่เค้าค่อนข้างแข็ง ไม่มีใครสามารถเตือนเค้าได้ และสุดท้าย เค้าก้อต้องตายอย่างโดดเดี่ยว เหมือนพืชกินคน ที่คอยกินทุกอย่างรอบๆข้างทั้งหมด ไม่เว้นแม้กระทั่ง ผู้คนที่คอยรดน้ำพรวนดินให้พืชต้นนี้ก็ตาม .. จุดจบสุดท้ายก็ไม่ต่างกัน โดดเดี่ยว อ้างว้าง ล้มลง จนไม่เหลือใคร

       วันนี้หากใครได้รับคำพูดที่เจ็บไปถึงทรวง เมื่อคำพูดของเค้านั้น เป็นเรื่องจริง .. ให้ถือว่า เค้าเป็นคนที่หวังดี ช่วยเตือนเราให้กลับมาสู่ความจริงที่ต้องปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ..  แต่ถ้าวันไหนที่เราได้รับคำพูดแย่ๆ ไม่จบไม่สิ้น ทั้งๆที่มันไม่ใช่เรื่องจริง เราไม่ต้องไปสนใจเลยค่ะ เพราะแค่นี้เราก็รับรู้แล้วว่า ตัวปัญหามันไม่ใช่เรา .. คือเค้าคนนั้นที่คอยพ่นเรื่องราวร้ายๆ ให้กับผู้อื่นไปทั่ว ตัวปัญหาเค้าจะแสดงออกถึงปัญหาออกมาอย่างชัดเจนด้วยตัวของเขาเอง เราน่าจะยินดีด้วยซ้ำที่ชีวิตเรามีอิทธิพลกับเค้าขนาดนั้น (ชีวิตเหมือนดาราก็งี้แหละ :p) .. สุดท้ายแล้ว วันหนึ่งเราก็ต้องกลับไปมองและยิ้มให้เค้า ที่เค้าทำให้เราก้าวสู่จุดอื่นๆที่ดีขึ้นๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด จากประสบการณ์ ความรู้จากกระบวนการคิด การตัดสินใจแก้ไขปัญหาในสถานการณ์จริง ที่เราก็หาเรียนที่ไหนไม่ได้ ในขณะที่เค้า ยังคงวนเวียนอยู่กับความทุกข์ในใจของเค้าเองอยู่เสมอและตลอดไป ขอให้ทุกคนคิดอยู่เสมอว่า ทุกอย่างที่ก้าวเข้ามาในชีวิต ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งดีดีทั้งนั้น เพราะทุกอย่างมีค่ามากกว่าคำสอน .. เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะคะ :)))

วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

อุดมการณ์ หรือ ปากท้อง

       เมื่อคำถามนี้เข้ามาแน่นอนเป็นใครก็ต้องชะงัก!! อะไรล่ะที่สำคัญกับชีวิตของเราระหว่าง "อุดมการณ์ หรือ ปากท้อง" .. เอาแล้วสิคะ ไอหมอกจะไปต่อยังไงดี?? อุดมการณ์เป็นสิ่งที่ทุกคนพึงมี ว่าชีวิตของเรานี้จะให้เดินเข้าสู่ทางไหน เราวางเส้นทางและทิศทางการเดินของหมากรุกที่เรียกว่า "ชีวิต" ไว้อย่างไร? คนที่มีอุดมการณ์เป็นคนที่มีความคิดความอ่านขั้นเทพ ไอหมอกเชื่อแบบนั้น .. เพราะฉนั้น คนที่มีอุดมการณ์ในชีวิต ไม่มีทางปล่อยให้ชีวิตของตนเองต้องหลุดออกจากสิ่งที่คาดหวังไว้เป็นแน่

       ไอหมอกเห็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จในชีวิตเยอะมาก ทุกคนล้วนมีอุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่ และเดินตามอุดมการณ์อันแรงกล้าด้วยความมุ่งมั่นแทบทั้งสิ้น ดังนั้นเราจึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมชีวิตเค้าเหล่านั้นช่างน่าอิจฉาเสียจริงๆ .. หากลองมานั่งมองดูแล้ว ทุกคนที่ยิ่งใหญ่และเติบโตได้ ล้วนแล้วแต่ย้ำคิด ย้ำทำ ตามอุดมการณ์ของตนเองที่ตั้งไว้ .. ไม่ใช่เดินตามอุดมการณ์ หรือความคาดหวังของใคร!!


       อาจมีนักธุรกิจหลายๆคนที่ชอบวาดฝันอุดมการณ์ของตนเองให้ผู้อื่นเดินตาม อันเนื่องจากว่าตนเองเห็นว่าดีที่สุด เหมาะสมที่สุดแล้ว โดยที่เค้าไม่เคยมองเลยว่าสิ่งเหล่านั้นเหมาะสมกับคนอื่นๆด้วยหรือไม่ .. และหลายๆคนรอบๆตัวเค้าผู้นั้น ก็อาจคล้อยตามอุดมการณ์ของเค้าไปโดยไม่รู้ตัว เนื่องจากเห็นว่าอุดมการณ์นี้น่าจะเหมาะกับตัวเราเองเช่นกัน .. แต่!!! โปรดอย่าลืมนะคะว่า ทุกคนจะประสบความสำเร็จได้ มีความสุขได้ ด้วยอุดมการณ์ของตนเองแทบทั้งสิ้น อุดมการณ์ที่จะนำความสุข ความสำเร็จ และความพึงพอใจในชีวิตเราที่แท้จริงนั้น ต้องเป็นอุดมการณ์ที่เราวาดหวังขึ้นมา ด้วยเหตุผลจากความเป็นไปได้ในชีวิตเรานานาประการ ไม่ว่าจะมาจากบุคคลที่อยู่รอบๆตัวเรา สังคม แนวคิดที่ถูกปลูกฝัง ความเชื่อ การเรียนการสอน หรือแม้แต่ประสบการณ์การรับรู้ต่างๆที่เราได้มา ล้วนแล้วแต่ส่งผลสำคัญของการวาดฝันอนาคตของเราทั้งหมด

       หากวันนี้เราต้องการเป็นบุคคลที่จะมีความสุข จากการมีอุดมการณ์ของตนเองนั้น เราต้องรู้ว่าอุดมการณ์หลักๆของตัวเราเองคืออะไร? เพราะอะไร? และสุดท้ายที่สุดแล้วในชีวิตของเรา เราต้องการอะไร? สื่งเหล่านี้จะทำให้เรารู้ว่า ทางเดินที่เรากำลังเดินอยู่นั้น เป็นทางเดินที่ถูกต้องแล้วหรือยัง .. ง่ายๆถ้าเราอยากรู้ว่าเส้นทางที่เราเดินมานั้น เป็นอย่างไร? เรามีความสุขกับการเดินทางนี้หรือไม่? ลองหยุดมองย้อนกลับไปแล้วตอบคำถามกับตัวเองว่า .. นี่คือสิ่งที่ชีวิตเราต้องการแล้วหรือเปล่า?

       สำหรับไอหมอก ทางเดินที่ทำให้ไอหมอกได้เดินสู่อุดมการณ์ของตนเองอย่างแท้จริงนั้น สามารถบอกเพื่อนๆได้ง่ายๆ คำเดียวเลยว่า อุดมการณ์ของไอหมอกอยู่ที่ "ปากท้อง" นั่นหมายถึง ความอยู่ดีกินดีของปากท้องของไอหมอกและครอบครัว ความสุขจากการใช้ชีวิต ความพึงพอใจในสิ่งที่เราได้รับ ซึ่งไม่ได้รู้สึกว่าถูกเอารัดเอาเปรียบจากใคร หรือองค์กรใดอยู่ในขณะนั้น หากวันนี้สิ่งเหล่านี้ยังไม่เกิดขึ้นในความรู้สึกของเรา แสดงว่าเราเดินตามอุดมการณ์ของคนอื่นอยู่ ซึ่งนั่นเป็นทางเดินที่ ผิด!!!! ถึงเวลาแล้วที่ต้องก้าวเดินตามอุดมการณ์ของเราเอง ไอหมอกเชื่อว่า อุดมการณ์ที่เป็นไปได้ของตัวเราเอง เป็นตัวชี้วัดความสุขของเราทุกอย่างที่เกิดขึ้น การอยู่ดี กินดี มีเงินใช้ มีความสบายใจ ..  แต่ต้องไม่เดินตามความหวัง หรืออุดมการณ์ลมๆแล้งๆของใคร ที่ใช้เราเป็นตัวขับเคลื่อนอยู่อย่างบ้าคลั่ง!!

   

       อุดมการณ์ของไอหมอกไม่ได้มีอะไรที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากนัก มีเพียงแค่ความคาดหวังที่ว่า สุดท้ายแล้วเราจะสามารถตอบแทนบุญคุณของพ่อและแม่อย่างเต็มความสามารถ ให้คุ้มกับความเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านได้ทำไว้ให้กับลูกๆ .. ให้ท่านได้ใช้ชีวิตในบั้นปลายที่สุขสบาย ได้พักผ่อนอย่างที่ใจอยากจะทำ ^^

ข้อจำกัดของ "การรอ"

       สำหรับวลีที่ว่า "ช้าๆได้พร้าเล่มงาม" ของบรรพบุรุษเรานั้น หลายๆคนคงเคยได้ยินมามากมายอย่างนับไม่ถ้วน และหลายๆคนก็ตีความหมายไปได้หลากหลายประเด็นเช่นกัน วันนี้ไอหมอกก็เลยอยากจะแชร์ความหมายของวลีดังกล่าว ในความคิดของไอหมอกให้เพื่อนๆได้ลองอ่านกันค่ะ หากเพื่อนๆ มีความคิดเห็นต่างก็เอามาแชร์กันนะคะ ไอหมอกยินดีรับฟังเสมอ ^^

       สำหรับคำว่า "ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม" ถ้าเราแปลตรงตัวก็คืออะไรที่ไม่รีบร้อนหรือเร่งรีบเกินไป ผลที่เรารอย่อมหอมหวานเสมอ แต่ในปัจจุบันอะไรที่เราช้าเกินไป ก็จะเป็นการพลาดโอกาสที่ใช่ว่าจะผ่านเข้ามาในชีวิตกันได้ง่ายๆก็เป็นได้ เนื่องจากในปัจจุบัน วิถีการดำเนินชีวิตของคนเราเปลี่ยนไปแล้วมากมาย ทุกอย่างตั้งอยู่บนพื้นฐานความเร็ว ใครดีใครได้ ทุกอย่างคือความพยายามต่อสู้ เพื่อที่จะได้มา แน่นอนคนที่มาก่อน เร็วกว่า ย่อมได้สิ่งเลอค่าเหล่านั้นไป


       "ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม" ใช่ว่าจะไม่สามารถสอนเราได้ในปัจจุบัน แต่ไอหมอกเชื่อว่าความหมายของวลีนี้ที่บรรพบุรุษเราคิดไว้ ไม่ได้หมายถึงว่า ให้เราทำอะไรที่ช้าๆ หรือรออะไรที่ต้องใช้เวลาเสมอไป .. ความหมายของทุกสิ่งทุกอย่างที่บรรพบุรุษเราให้มา ไม่เคยมีความหมายในด้านเดียว ทุกอย่าง ทุกการกระทำ และทุกคำสอน มีความหมายมากมายแฝงอยู่ในตัวเสมอมา ประโยคนี้ก็เช่นเดียวกัน ความหมายของวลี "ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม"  นั้นหมายถึง ก่อนที่เราจะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้ว ให้เราตัดสินใจถึงหลักการและเหตุผลอย่างถี่ถ้วนทุกครั้ง เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นให้น้อยที่สุด และแน่นอนถ้าเราทำอะไรที่ช้าจนเกินไปแล้ว โอกาสที่ดีเหล่านั้นอาจลอยหายไปได้ในที่สุด ความเร็วต้องมาคู่กับความละเอียดรอบคอบในการตัดสินใจอยู่เสมอ นั่นคือสิ่งที่บรรพบุรุษเราท่านได้สอนไว้

       บางทีการรอคอย อาจเป็นเชือกที่ผูกมัดเราไว้ให้ย่ำอยู่กับที่ กับความฝันอันล้มๆแล้ง ที่อาจเกิดขึ้นเพราะตัวเราเอง หรือเพราะคนอื่นๆ ทุกคนควรมีข้อจำกัดในการรออย่างมีเป้าหมาย มีลิมิตอยู่เสมอ การรอคอยบางเรื่องเป็นเรื่องที่ดี แต่บางเรื่องการรอคอยนั่นแหละที่จะเป็นคนทำร้ายตัวเราเองซึ่งเจ็บปวดที่สุดก็เป็นได้

       วันนี้หากใครที่กำลังรอคอยหลายๆสิ่งอยู่นั้น ลองถามตัวเองดูหรือยังคะว่า ลิมิตของการรอคอยของเราตั้งไว้ประมานไหน กี่วัน กี่เดือน กี่ปี? และอะไรที่จะสามารถนำมาเป็นตัวชี้วัดได้ว่า การรอคอยของคุณนั้นควรจะสิ้นสุดหรือจบลงเมื่อไหร่? .. ผลของการรอคอยของทุกคนอาจไม่หอมหวาน หรือขมขื่นตลอดเวลา เนื่องจากเหตุผลของการรอคอยแต่ละคนแตกต่างกัน แต่อย่าให้การรอคอยของเรา เป็นส่วนทำร้ายเวลา ความคิด ความก้าวหน้าที่ควรจะเกิดขึ้น ต้องชะงักลงในที่สุด .. หากโอกาสที่ดีดีมาถึง อย่าปล่อยให้คำมั่นสัญญาที่เราให้ไว้กับตนเองว่า "จะรอคอย" มาเป็นตัวผลักให้โอกาสนั้นๆหลุดลอยไป ในห้วงอากาศ ที่ไม่ว่าจะอย่างไรเราก็ไม่สามารถเอื้อมคว้ากลับคืนมาได้อย่างแน่นอน .. วันนี้คุณลอง List มาหรือยังว่า ข้อจำกัดในการรอคอยของคุณคืออะไร? ไอหมอกขอเป็นกำลังใจให้กับทุกท่านที่มีเป้าหมายค่ะ ^^

วันพุธที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2556

“อิสรภาพ” ปัจจัยจูงใจคนทำงานรุ่นใหม่นอกเหนือจากเงินเดือนและสวัสดิการ


       ปัจจุบันหลายองค์กรกำลังประสบปัญหาในการรักษาคนเก่งๆให้อยู่กับองค์กรเนื่องจาก คนทำงานรุ่นใหม่เขาไม่ต้องการแค่เงินเดือน สวัสดิการและตำแหน่งหน้าที่เท่านั้น แต่เขาต้องการอิสรภาพที่เร็วกว่าและมากกว่าที่องค์กรมีให้ และซ้ำร้ายกว่านั้นคือ มีธุรกิจขายตรง ขายหลายชั้น รู้ว่าจุดอ่อนของคนทำงานรุ่นใหม่คือการแสวงหาอิสรภาพ เขาก็นำจุดนี้มาเป็นจุดขายเพื่อดึงดูดคนเก่งๆที่ทำงานอยู่ในองค์กรออกไปทำอาชีพอิสระที่ไม่ต้องลงทุน แต่มีไฟก็สามารถประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก ตอนนี้คนรุ่นใหม่เปรียบเสมือนแมงเม่าที่กำลังบินเข้ากองไฟ  เพราะตกหลุมพรางของสิ่งล่อใจคือ “อิสรภาพของความสำเร็จ” ที่บอกว่าไม่ว่าคุณจะเป็นใคร แม่บ้าน นักศึกษา คนทำงาน ทุกคนสามารถประสบความสำเร็จได้เร็วกว่าดีกว่ามากกว่าอย่างแน่นอน  พร้อมยกตัวอย่างคนประเภทต่างๆที่เข้ามาแล้วประสบความสำเร็จ ทำให้องค์กรต่างๆประสบปัญหาคนเก่งๆกำลังถูกดูดออกจากองค์กรไปยังธุรกิจที่มักจะบอกว่า “อิสระ” ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้ว อิสระแค่เพียงเวลาและสถานที่ทำงานเท่านั้น แต่อิสระเทียมนั้นถูกผูกล๊อคด้วยเงื่อนไขต่างๆอีกมากมายที่ดูเสมือนหนึ่งว่าไม่มีการบังคับ แต่ถ้าไม่ทำตามที่เขากำหนดคุณก็อยู่ในธุรกิจนั้นไม่ได้ หรืออยู่ได้ก็ไม่ประสบความสำเร็จ สุดท้ายคำว่าทำงานอิสระนั้นเป็นแค่คำโฆษณาที่สวยหรูเท่านั้น


       ดังนั้น คงจะถึงเวลาแล้วที่องค์กรต่างๆควรจะให้ความสำคัญกับการเตรียมรับมือกับการบริหารคนทำงานรุ่นใหม่ที่ต้องการอิสรภาพในด้านต่างๆเพิ่มมากขึ้น จึงขอแนะนำแนวทางในการรับมือกับการบริหารคนบนพื้นฐานของอิสรภาพส่วนบุคคลดังนี้
เลือกสภาพการจ้างได้

       “ไม้บรรทัดไม่สามารถใช้แทนมาตรวัดทุกประเภท(เช่น ปริมาตรน้ำ ความดัน ฯลฯ) ได้ฉันใด สภาพการจ้างแบบเดียวก็ไม่เหมาะสมกับการจ้างคนทุกคนได้ฉันนั้น” 

       ที่กล่าวเช่นนี้ก็เพราะว่าสภาพการจ้างแบบเดียวกัน ไม่สามารถจูงใจคนทำงานทุกสาขาอาชีพหรือคนทุกคนได้ ดังนั้น องค์กรที่ควรจะเริ่มมีสัญญาจ้างหรือเงื่อนไขในการจ้างที่มีทางเลือกเพิ่มมากขึ้นโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ที่องค์กรจะได้รับยังเหมือนเดิมแต่ปลดล๊อคเงื่อนไขบางอย่างให้เหมาะสมกับคนทำงานที่หลากหลายประเภท หลากหลายความต้องการ เช่น สามารถเลือกเวลาทำงานได้ เลือกสถานที่ เลือกลักษณะงานที่ทำ เลือกเงินเดือน เลือกสวัสดิการที่เหมาะสมกับตัวเองได้มากขึ้น

เลือกงานที่จะทำเองได้
       คนสมัยก่อนจบการศึกษาด้านไหนมาก็มักจะเลือกทำงานตรงกับที่ร่ำเรียนมาและมักจะไม่ค่อยเปลี่ยนสายงาน แต่คนรุ่นใหม่หลายคนอยากทำงานที่ไม่ตรงกับสาขาที่เรียนมา เพราะตอนเรียนยังไม่รู้ว่าอยากเป็นอะไร แต่พอเรียนจบถึงรู้ว่าชอบงานอีกแบบหนึ่ง ดังนั้น องค์กรไม่ควรกำหนดสเปคในการรับคนเข้าทำงานที่แคบเกินไป ถ้าตำแหน่งงานนั้นไม่ใช่ตำแหน่งงานที่ต้องใช้วิชาชีพ ควรเปิดโอกาสให้คนบางคนที่มีความอยาก(ทำงาน)สูงแต่ไม่ได้จบสาขานั้นๆมา และคนรุ่นใหม่มักจะมีการเปลี่ยนความต้องการของตัวเองอยู่ตลอดเวลา

       ดังนั้น เวลารับคนรุ่นใหม่เข้ามาทำงานในองค์กรในสายงานหรือตำแหน่งงานใดแล้ว ต้องมีระบบในการตรวจสอบว่าเขายังมีความสุขอยู่กับตำแหน่งงานเดิมหรือไม่ หรือเขาต้องการจะเปลี่ยนไปทำงานในตำแหน่งอื่น เพราะบางคนเข้ามาทำงานสักสองสามปีก็พบว่า “ไม่ใช่” เขาน่าจะเหมาะกับงานอื่นในองค์กรมากกว่าและรู้สึกอยากทำมากกว่า องค์กรควรเปิดโอกาสให้คนในองค์กรเลือกงานที่จะทำได้ แต่ถ้าไม่ต้องการให้เกิดความวุ่นวายในการเลือกและเปลี่ยนงานภายในองค์กรก็อาจจะกำหนดกฎกติกาขึ้นมารองรับก็ได้ เช่น ใครต้องการทำงานตำแหน่งอื่นให้ทำเรื่องเสนอได้ปีละหนึ่งครั้งพร้อมระบุเหตุผลที่ต้องการจะทำ และเหตุผลที่จะทำให้องค์กรมั่นใจได้ว่าสามารถทำตำแหน่งงานนั้นๆได้ และทางผู้บริหารจะพิจารณาความเหมาะสมต่อไป

เลือกเส้นทางสู่ความสำเร็จได้
       แต่ก่อนองค์กรเป็นผู้กำหนดว่าใครจะเติบโตไปยังตำแหน่งไหน เมื่อไหร่ แต่การบริหารคนรุ่นใหม่ให้เขาเป็นผู้กำหนดด้วยตัวเขาเองว่าอีก 3-5 ปี ถ้าเขาทำงานอยู่กับเรา เขาต้องการเติบโตไปยังระดับไหน ตำแหน่งไหน และเขาต้องทำอะไรบ้างเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายที่ต้องการ โดยองค์กรมีหน้าที่ให้ข้อมูล สนับสนุนการพัฒนาตนเองของคนทำงานรุ่นใหม่ และกำหนดเงื่อนไขในการเลื่อนตำแหน่งที่เป็นไปได้ และได้ผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างองค์กรกับคนทำงาน

เลือกสถานะความสัมพันธ์กับองค์กรได้
       คนทำงานรุ่นก่อนมีสถานะให้เลือกอยู่เพียงไม่กี่สถานะ เช่น เป็นพนักงานประจำ เป็นพนักงานชั่วคราว เป็นพนักงานสัญญารายปี แต่คนรุ่นใหม่ต้องการทางเลือกที่มากกว่าและยืดหยุ่นกว่าคนทำงานรุ่นเก่า เช่น สามารถเลือกได้ว่าในแต่ละช่วงเวลาจะมีความสัมพันธ์กับองค์กรแบบไหน เช่น เลือกที่เป็นลูกจ้างประจำ เลือกได้ว่าจะทำงานกินค่าคอมมิชชั่นอย่างเดียว เลือกที่จะเป็นพนักงานชั่วคราว(Part-Time) เลือกรับทำงานเป็นชิ้นๆจากองค์กร เลือกเป็นผู้รับจ้าง (Outsource) เลือกที่เป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจ (Partner) เลือกที่จะเป็นที่ปรึกษา (Advisor) และอาจจะเลือกได้ว่าจะมีความสัมพันธ์กับองค์กรในสถานะนั้นๆนานแค่ไหน และสามารถเปลี่ยนแปลงสถานะจากรูปแบบหนึ่งเป็นอีกรูปแบบหนึ่งได้ ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการลาออกของคนเก่งๆ และเพื่อป้องกันต้นทุนแรงงานขององค์กรสูงเกินกว่าความเป็นจริง เพราะไม่ว่าองค์กรจะจ้างเขารูปแบบไหน สิ่งที่เป็นเงื่อนไขหลักๆคือ “ผลงาน” ที่คุ้มค่า ส่วนคนทำงานคือ “อิสระ” ที่เลือกทำงานได้ตามความต้องการของชีวิตแต่ละช่วงเวลา

       สรุป การบริหารคนรุ่นใหม่ไม่ใช่เรื่องยากหากองค์กรเข้าใจธรรมชาติของเขา นำเอาสิ่งที่เขาเป็นมากำหนดเป็นกลยุทธ์ในการบริหารให้เหมาะสม โดยยึดความสมดุลระหว่าง “ผลประโยชน์ขององค์กร” กับ “ความต้องการของคนทำงาน” ซึ่งนอกจากผลตอบแทนที่คุ้มค่า ความก้าวหน้าที่เลือกได้แล้ว คนรุ่นใหม่มีความต้องการเรื่อง “อิสรภาพในชีวิต” เพิ่มมากขึ้นด้วย

       ดังนั้นองค์กรไหนต้องการบริหารคนรุ่นใหม่ให้ได้ทั้งใจและผลงาน คงต้องเตรียมตัวปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การบริหารคนตั้งแต่เริ่มจ้างคนจนถึงการพ้นสภาพไปจากองค์กรเสียใหม่ตั้งแต่ตอนนี้ ถ้าองค์กรไหนปรับตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ดีกว่าและเร็วกว่า น่าจะสร้างความได้เปรียบในการบริหารคนรุ่นใหม่ในอนาคตได้ดีกว่าอย่างแน่นอน


แนะนำโดย : คุณทิพจุฑา ดุเหว่า
ที่มา : คุณณรงค์วิทย์ แสนทอง

วันพฤหัสบดีที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2556

คุณสูญเสีย "ความเป็นตัวเอง" เพราะงานหรือเงิน .. ไปแล้วหรือยัง?

       สวัสดีเดือนเมษายน เดือนแห่งความร้อนแรง อุ่ย!! ใจคนอย่าเผลอร้อนไปด้วยนะคะ วันนี้ไอหมอกมีเรื่องราวแนวคิดดีดีจากเพื่อนคนหนึ่ง เราอาจมองว่าเค้าอาร์ตๆ นิดนิด อินดี้หน่อยหน่อย แต่พอพูดถึงแนวคิด อั้ยย่ะ .. ใช่ย่อย ลองมาดูกันค่ะ ว่าเพื่อนไอหมอกคนนี้ เค้าแชร์อะให้ให้เรากันบ้าง

       ข้อมูลส่วนตัวของผม "วีรยุทธ เตจ๊ะ - หนุ่ม" ปัจจุบันทำงานตำแหน่งโปรแกรมเมอร์ ผมทำงานที่ผมรักมาถ้านับตอนนี้ก็ประมาณ 2 ปี กับ 26 วัน"

       เคยที่ท้อแท้ใจไม่อยากที่จะทำงานกันมั้ยครับ? ... ช่วงก่อนนี้ผมรู้สึกไม่ค่อยอยากจะทำงานสักเท่าไหร่ ทั้งที่ว่า เมื่อก่อนนี้ ผมคิดว่า ผมกับการเขียนโปรแกรมนั้น เป็นเหมือนกับคู่แท้ที่แยกจากกันไม่ออก แต่มาตอนหลังนี้ ผมรู้สึกท้อแท้ใจ และรู้สึกลำบากใจที่จะต้องเขียนโปรแกรม ... ทุกครั้งที่ผมเห็นโปรเจ็คใหญ่ๆ ผมได้แต่คิดว่า “อืม ... มันก็ดีนะ ... แต่ เมื่อไหร่จะเสร็จ แล้วต้องใช้อะไรบ้าง? ถ้ามันไม่เป็นอย่างที่ต้องการล่ะ? “ สารพัดปัญหาที่ผมจะสรรหามาใช้เพื่อ เรื่องเดียว เพื่อหลีกเลี่ยงการเขียนโปรแกรม คือไม่เอาแล้ว ไม่อยากไปทำแล้ว ... มันเป็นเพราะอะไรกัน ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ราวๆ 7 – 8 ปี ผมคลั่งไคล้มันมาก ?


       ผมย้อนกลับมาคิดว่ามันเป็นเพราะอะไรกัน ที่ทำให้ผมไม่อยากเขียนโปรแกรม ไม่อยากทำในสิ่งที่ผมเคยชอบ ผมคิดอยู่นาน เป็นเดือน แล้วสุดท้ายผมก็คิดออก ... อันดับแรกคือ

       “ผมเปลี่ยนจากความชอบเขียนโปรแกรมที่มีอยู่เป็น Passion ไปเป็นการทำเพื่อเงิน”

       บ้านผมจนครับ การจะมาเรียนปริญญาตรีของผมนี่ค่อนข้างลำบาก ผมพยายามงัดข้อกับทางบ้านอยู่นาน เพราะมาเรียนมันใช้ทุนสูง แต่ผมก็กระเสือกกระสนมาเรียนปริญญาตรี สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์จนได้ เพราะความชอบแบบสุดๆ ชอบมาก่อนหน้านี้แล้ว ชอบมาก่อนที่จะรู้ว่า คนที่มาสายนี้ต้องเรียนวิทยาการคอมพิวเตอร์ หรือ วิศกรรมคอมพิวเตอร์ ผมเรียนช่างยนต์มาก่อนหน้านี้ครับ พกหนังสือช่างไปเรียนวันละเล่ม นอกนั้นอีกสามเล่ม เป็นหนังสือพวกทำเว็บ เขียนโปรแกรม แต่เนื่องด้วยความที่อดอยากอดกลั้น เข้ามาเรียนด้วยความลำบาก ผมเลยคิดว่า ถ้าผมจะหารายได้พิเศษ ผมจะต้องหามาจากความรู้ที่มี ผมก็ไล่หางาน โดยหวังว่าจะเริ่มจากการเป็นฟรีแลนซ์ในสมัยเรียน ... ทั้งทีไม่มีคอนเน็คชั่นใดๆเลยไม่มีงานเข้ามาเลยครับ ... แต่สวรรค์ก็ไม่ได้ใจร้าย ในอีกประมาณปีครึ่ง ผมหางานไปเรื่อยๆจนมีคนให้โอกาสผม ให้ผมทำเว็บไซต์ E-Commerce

       งานนี้เป็นงานแรก และผมได้เงินมาประมาณ 12,000 บาท ... ผมก็ตาโตสิครับ ไม่เคยได้เงินเยอะขนาดนี้มาก่อน เอาแค่ว่าพ่อแม่ให้เงินมาวันละร้อยนี่ ผมก็ว่าเยอะแล้ว ผมก็กระหยิ่มใจ ไล่หางานฟรีแลนซ์ทำอีกเรื่อยๆ

       และตรงจุดนั้นก็เป็นจุดเปลี่ยนครับ ผมทำทุกอย่างเพื่อเงิน โปรเจคเล็ก โปรเจคใหญ่ ผมไล่เก็บมันให้หมด และตั้งแต่วันนั้นมา ชีวิตผมก็เริ่มหมดความสุขจากการเขียนโปรแกรมไปทีละนิด ... ผมคิดแต่เพียงว่ามันเป็นแค่เครื่องมือสำหรับหาเงินเท่านั้น ผมยิ่งเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ในเรื่องที่คิดว่าจะหาเงินได้ และทำงานอย่างบ้าคลั่ง แต่ไม่เคยมีความสุขเลย ... เพราะทุกสิ่งที่ผมทำ ผมพัฒนาตัวเอง ... “ผมทำไปเพื่อคนอื่น”

       ผมขายวิญญาณไปให้คนอื่น ผมสูญเสียความเป็นตัวเองไป ผมเป็นแค่โปรแกรมเมอร์ที่ทำตามคำสั่งของคนอื่น เขาให้ทำอะไร ยอมทำ แม้ว่าจะมีวิธีที่ดีกว่า หรือเทคโนโลยีที่ดีกว่า ผมก็ไม่เอา ผมเลือกที่จะทำเพื่อเงินเท่านั้น ... มีชีวิตไปวันๆ เพื่อหาเงิน ... แต่ผมก็ไม่เคยไปไหนได้ไกล และ ผมก็เริ่มหมดความสุขในชีวิตการเขียนโปรแกรมตั้งแต่นั้นมา

     จากการที่เคยพัฒนาตัวเองอย่างรวดเร็ว เพราะแรงผลักดันข้างในใจของตน กลายเป็นเหมือนโปรแกรมเมอร์ที่เป็นหุ่นยนต์ พอผมคิดได้ เหมือนผมตื่นจากฝันเลยทีเดียว มันเหมือนผมตื่นมาใหม่ ผมเริ่มปรับความคิดใหม่ เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสอีกครั้ง

       เมื่อผมได้จับโปรเจคอะไรสักอันหนึ่ง ถ้าเป็นเมื่อก่อนนี้ ผมจะคิดแค่ว่า “โอเค เรารับผิดชอบทำในส่วนนี้ เราทำให้จบ รับเงิน แค่นี้พอ” ผมเปลี่ยนความคิดใหม่ “โอเค เรารับผิดชอบตรงส่วนนี้ มันน่าจะเป็นแบบนี้ อืม ... มันน่าจะมีระบบแบบนี้ เพื่ออำนวยสะดวกแบบนี้” ผมเริ่มคิดใหม่ เหมือนกับเป็นเจ้าของโปรเจค เหมือนโปรเจคนั้นมันเป็นของผมเอง ลองคิดดูสิครับ ว่าถ้ามันเป็นของเรา ไม่ใช่แค่ “งานของเรา” เราจะรู้สึกยังไง?

       ผมพร้อมที่จะทำทันที และสรรหาทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อเนรมิต ให้งานมันออกมาดีที่สุด ไม่ใช่แค่งานตรงส่วนนั้น ... แต่เป็นทุกภาคส่วนของโปรเจคนั้นๆ เพราะเรารู้สึกว่ามันเป็นของเราจริงๆ

       ดังนั้น เรื่องการทำเพื่อเงิน สำหรับผม อันนี้จบไปแล้วครับ กลายเป็นว่า ทำเพราะเรารู้สึกรัก และห่วง เพราะเรารู้สึกว่ามันเป็นโปรเจคของเรา ไม่ใช่แค่งาน

       ความคิดต่อไปคือ ถ้าเมื่อก่อนจะคิดว่า “เราจะทำให้เค้าเยอะทำไม ทำเท่าที่สั่งก็พอ ทำไปเราก็ไม่ได้รวยหรอก คนสั่งนู่น ที่รวยเอารวยเอา โปรเจคก็ใช่ว่าจะเป็นของเรา ฉะนั้น ทำแค่ที่สั่งก็พอ”

       อันนี้ผมเปลี่ยนความคิดใหม่ครับ ผมย้อนกลับไปคิดถึงสมัยก่อน งานหลายๆงานผมก็ไม่ใช่ว่าจะได้เงิน เช่น บางทีผมก็ช่วยเพื่อนเขียนโปรแกรมที่มันยากๆ เพราะหวังจะเรียนรู้จริงๆ ... งานของตัวเองไม่ใช่ นั่งคิด นอนคิดตั้งสามวัน ... พอคิดออก ลุกออกจากเตียง เปิดไฟ มานั่งเขียนโปรแกรม ตามไอเดียที่เพิ่งผุดขึ้นมา ... หรือบางที ผมก็ไปนั่งเรียนวิชาโปรแกรมมิ่ง ของอีกห้องหนึ่ง ฟรีๆ นอกเวลาเรียนของตนเอง โดยที่ไม่ได้คิดอะไร หวังแค่ว่า อยากเขียนโปรแกรมได้ อยากเขียนโปรแกรมดี แค่นั้นเอง สมัยนั้นผมทำหลายๆอย่างที่ไม่ได้ผลประโยชน์โดยตรงเป็นตัวเงิน แต่ผมก็มีความสุขดี

       ฉะนั้น ผมจึงเปลี่ยนความคิดใหม่ ว่า ในการทำงานทุกๆงาน ไม่ใช่แค่งานเขียนโปรแกรม ทุกๆงานนั้นคือการเรียนรู้ แน่นอน เจ้าของโปรเจคได้เงินอยู่แล้ว แต่นั่นก็เพราะเขามีทุน ตอนนี้เราก็เรียนรู้จากการทำธุรกิจของเขาสิ เราก็ดู ว่าเขาจะมีวิธีหาช่องทางทำเงินยังไง อะไรคือปัญหาของเขาในการทำธุรกิจ ความรู้เราก็ได้ ทักษะเราก็คมขึ้น เพราะเราได้งานที่ยากๆ เงินค่าจ้างก็ได้ เหมือนกับเรามาฝึกงาน แล้วได้เงินด้วย ฉะนั้น ยังไงเราก็กำไรอยู่แล้ว ได้ทั้งความรู้ ได้ทั้งเงิน ... พอเปลี่ยนไปคิดแนวบวก มันก็ได้ผลบวกไปด้วย

       เมื่อความคิดมันเป็นไปในด้านบวก จะทำอะไรมันก็ได้ผลดี ... ขนาดปัญหาที่คนทั่วไปมองว่าน่าเบื่อ เราก็ดันมองเห็นเป็นข้อดี ... ทีนี้ พอทำงานก็มีความสุขครับ ... ยิ่งมีความสุข มันก็อยากจะทำอีกเยอะๆ เพราะว่าจะได้เรียนรู้ ได้ความภาคภูมิใจ ได้เงินมาใช้อีกต่างหาก

       มีหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อ “Do What You Love The Money Will Follow” หรือแปลได้ว่า “ทำในสิ่งที่คุณรักแล้วเดี๋ยวเงินมันจะตามมาเอง” ชื่อเรื่องตรงตัวครับ ถ้าเราไม่ได้ทำในสิ่งที่เรารัก มีโอกาสที่จะเลิกทำสูง พอเลิกทำ ก็ไม่ได้เงินอีก มีเพื่อนหลายๆคนที่รู้จักกันกลับมาพบกันอีกที เล่าความอึดอัดใจว่า “เลิกเป็นดีกว่าโปรแกรมเมอร์ เป็นโปรแกรมเมอร์อยู่ในไทย อยู่ไปก็ไม่รวย ทำงานก็เยอะ ดันถูกกดราคาอีก นี่ไปขายก๋วยเตี๋ยวดีกว่า!!! ” ก็จริงครับ สภาวะงานของโปรแกรมเมอร์ในไทยนี่ค่อนข้างลำบากครับ เนื่องจาก ช่วงหลังมานี้ ค่านิยมของการเรียนสายไอทีมีมากขึ้น เนื่องจากเป็นตลาดที่เติบโตเร็วมากๆ เด็กไทยในยุคปัจจุบัน จึงเลือกเรียกสายไอที ด้วยแนวคิดที่ว่า เรียกสนุก สอบสบาย หางานก็ง่าย เงินก็ดี ... ซึ่งก็ไม่ทราบว่าใครไปบอกเด็กนะครับ ว่างานมันสบายจริงหรือเปล่า เด็กที่เข้ามาหลายคนก็ติดเกมมาก่อน และคิดว่า ไหนๆก็คลุกคลีอยู่กับคอมพิวเตอร์ทั้งวัน ดังนั้น เรียนสายไอทีนี่ ง่ายสบาย เหมือนปอกกล้วยเข้าปาก

       แต่พอเข้ามาเรียนจริงทุกอย่างกลับเป็นคนละเรื่อง ราวกับฟ้ากับเหว วิชาทฤษฎีมีราวๆ 80% อีก 20% เป็นวิชาปฏิบัติ ซึ่ง เวลาเรียนจำกัดจำเขี่ยเอามากๆ ถ้าหวังเรียนเอาตามหลักสูตรแล้วหวังว่าจะเก่งคงเป็นไปได้ยาก อันนี้ต้องโทษหลักสูตรบ้านเราด้วยครับ ที่เรียนอย่างละนิดหน่อย ไม่ได้ลงลึก จะมีก็แต่คนที่ชอบจริงๆเท่านั้น ที่จะหมกมุ่นอยู่กับคอมพิวเตอร์ได้ทั้งวัน สังเกตได้ว่าหลายคนที่เรียน จะบ่นว่าต้องไปสอบอีกแล้ว อ่านแล้วไม่เข้าใจ เรียนแล้วไม่มีความสุข  เด็กไม่รู้ เพราะคิดว่ามันจะสนุก คิดอย่างเดียวว่า ต้องเรียนให้รอด เพราะสายนี้ยังไงก็หางานง่าย แต่ปรากฏว่า พอจบออกมา ต้องมาแข่งขันกับคนหางานสายไอทีทั่วทั้งประเทศไทย ที่กำลังหางานเหมือนกัน คนเก่าปีนี้ยังหางานไม่ได้ คนปีหน้าก็จะตามมาแย่งงานกันอีก

       สุดท้ายงานสายไอทีในไทย ก็วนเวียนเป็นวัฏจักร  เด็กหาสาขาเรียน เลือกเรียนไอที เพราะคิดว่าหางานสบาย เงินเยอะ แต่ไม่ได้ชอบจริงๆ เลือกเพราะเห็นว่าเงินเยอะ หางานง่ายอย่างเดียว (เพราะได้ยินมา) พอมาเรียนไม่มีความสุข .. เลยไม่ตั้งใจเรียน เรียนเอาแค่พอผ่าน ... จบมา หางานยากมาก เพราะไม่เคยได้ฝึกฝนมา เรียนเอาตามหลักสูตรมา เพราะคิดว่ายังไงมันก็หางานง่าย ... ทีนี้พอได้งานมา ก็ไม่มีความสุขอีก เพราะมีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้องอีก

       จะเห็นได้เลยว่า การที่มีเงินเข้ามาเกี่ยวข้องกับตนเองมากเกินไป ทำให้สูญเสียตนเอง หรือแม้กระทั่ง เลือกเส้นทางให้กับชีวิตของตนเองผิดไป โดยลืมไปว่า “จริงๆแล้วเราชอบอะไรกันแน่?” อะไรคือสิ่งที่เราทำแล้วมีความสุข ถ้าเราทำในสิ่งที่มีความสุข ชีวิตก็มีสุข พอมีความสุข ก็จะทำงานได้เยอะ ยิ่งทำเยอะ ก็จะมีความรู้ความชำนาญเยอะ พอมีความชำนาญเยอะก็จะมองหาโอกาสในชีวิตได้มากกว่าคนอื่น และเงินมันก็จะไหลมา เทมาเองครับ

       ก่อนปิดท้าย ลองสังเกตว่า ทำไมโปรแกรมเมอร์ต่างประเทศถึงมีค่าจ้างสูง เป็นเพราะเขาเหล่านั้นเก่งชนิดที่ว่าตามไม่ติดเลยอย่างนั้นเลยหรือ ... จริงๆแล้วต่างประเทศก็ยังขาดแคลนโปรแกรมเมอร์ดีๆนะครับ ที่อยู่รอดมาได้และมีค่าจ้างสูงๆ คนเหล่านั้นเป็นคนที่หลงรักในสิ่งที่เขาทำจริงๆ และ เขาไม่ได้ทำเพื่อเงินแต่เพียงอย่างเดียว ทุกๆวันเขาอุทิศให้การเขียนโปรแกรม เขียนโปรแกรมทื่ทำงานแล้ว กลับมายังนั่งเขียน Open Source ร่วมกับนักพัฒนาคนอื่นๆ ทั้งๆที่ไม่ได้เงินอะไรเลย

       แต่นั่น ทำให้เขามีราคา เพราะบริษัทต่างๆคิดว่า คนเหล่านั้น สามารถสร้างคุณค่าให้กับบริษัทได้อีกมากมาย ซึ่งการที่จะหาคนอื่นมาแทนที่คงทำได้ยาก เพราะองค์ความรู้ที่สะสมมามากมาขนาดนั้นไม่ใช่ปลูกฝังแค่ปีสองปี และนั่น ก็ทำให้โลกเทคโนโลยีของต่างประเทศเจริญเฟื่องฟู... ลองย้อนกลับมามองบ้านเรา จะมีโปรแกรมเมอร์สักกี่คนที่เลือกใช้เวลาของตนเองเพื่อสร้างสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงโลกไอที นอกจากใช้เวลาของตนเองทำงานพิเศษ เล็กๆน้อยๆ สุดท้ายก็เหนื่อย เบื่อ และหันไปหาหนทางอื่น

       จงทำในสิ่งที่รักให้ได้ก่อนครับ แล้วเงินทองชื่อเสียงมันจะตามมา ... และถ้าทำในสิ่งที่รักไม่ได้ ก็จงรักในสิ่งที่ทำ มีความสุขกับทุกสิ่ง ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต และชีวิตของเราก็จะสวยงามที่สุดครับ


บทความโดย : คุณวีรยุทธ เตจ๊ะ และ Softbankthai

วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2556

เราเป็น "หมาขี้เรื้อน" อยู่หรือไม่?

       จากการที่อ่านนิทานเรื่องนี้ ทำให้ไอหมอกรู้สึกว่า นิทานเพียงเรื่องเดียว เราสามารถเปลี่ยนความคิดได้มากมายขนาดนี้เลยหรอ วันนี้จากการที่เราเป็นคนที่มีมุมมองด้านที่ทำให้ใจไม่สงบ ไม่นิ่ง เราคงจะไม่มีความสุข เป็นเหมือนหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่ง ที่อยู่ที่ไหนก็ต้องขวนขวายไปเรื่อยๆ เพราะโทษว่า สถานที่นั่นไม่ดี ทั้งๆที่เป็นเพราะหัวใจเราไม่คิดที่จะ "พอ" เอง วันนี้ไอหมอกเลยนำบทความนี้มาแบ่งปันให้กับเพื่อนๆ ได้อ่านกันค่ะ คิดว่าอาจจะเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนๆได้มากมายเลยทีเดียว ^^

       ลูกชายนักธุรกิจใหญ่ มีชื่อเสียงระดับประเทศคนหนึ่ง เพิ่งสำเร็จการศึกษากลับมาจากเมืองนอก ยังไม่ทันทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็ถูกผู้เป็นแม่ขอร้องให้บวชเรียนเสียก่อน เพื่อเห็นแก่แม่ …..  บัณฑิตใหม่หมาดๆจากเมืองนอก จึงบวชอย่างเสียไม่ได้
     
       เมื่อบวชที่วัดใหญ่ในกรุงเทพฯแห่งหนึ่งเสร็จแล้ว ผู้เป็นแม่จึงพาไปฝากให้จำพรรษาอยู่กับพระวิปัสสนาจารย์รูปหนึ่งที่วัดป่าแถวภาคอีสาน พระหนุ่มการศึกษาสูงมาจากตระกูลผู้ดีมีแต่ความสุขสบาย เมื่อมาอยู่วัดป่ากว่าจะปรับตัวได้จึงใช้เวลานานเป็นแรมเดือน  แต่ก็นั่นแหละกว่าจะนิ่งก็ทำเอาพระร่วมวัดหลายรูปพลอยอิดหนาระอาใจไปตามๆกัน

       ปัญหาที่ทำให้พระทั้งวัดเหนื่อยหน่ายจนนึกระอา ก็เพราะพระใหม่มีนิสัยชอบจับผิด  และชอบอวดรู้ ยกหูชูหางตัวเองอยู่เป็นประจำ วันแรกที่มาอยู่วัดป่าก็นึกเหยียดพระเจ้าถิ่นทั้งหลายว่า ไม่ได้รับการศึกษาสูงเหมือนอย่างตน ออกบิณฑบาตได้อาหารท้องถิ่นมาก็ทำท่าว่าจะฉันไม่ลง เห็นที่วัดใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าดแทนไฟฟ้าก็วิพากษ์วิจารณ์เสียเป็นการใหญ่หาว่าล้าสมัยไม่รู้จักใช้เทคโนโลยี ตอนหัวค่ำมีการทำวัตรสวดมนต์เย็นก็บ่นว่าท่านรองเจ้าอาวาสทำวัตรนานเหลือเกิน กว่าจะสิ้นสุดยุติได้ก็นั่งจนขาเป็นเหน็บชา ครั้นพอถึงเวรตัวเองล้างห้องน้ำเข้าบ้าง ก็ทำท่าจะล้างอย่างขอไปทีล้างไปบ่นไป ประเภทตูจบปริญญาโทมาจากเมืองนอกต้องมาเข้าเวรล้างห้องน้ำร่วมกับใครก็ไม่รู้ โอ้ชีวิต! ความสำรวยหยิบโหย่งทำให้พระใหม่ไม่พอใจสิ่งนั้นสิ่งนี้ถือดีว่าตัวเองมีชาติตระกูลสูง มีการศึกษาสูงกว่าใครในวัดนั้น ผิวพรรณก็ดูสะอาดสะอ้านชวนเจริญศรัทธากว่าพระรูปไหนทั้งหมด มองตัวเองเปรียบกับพระรูปอื่นแล้วช่างรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าทุกประตู นึกแล้วก็ยิ้มกระหยิ่มอยู่ในใจกลับเข้ากุฏิเมื่อไหร่ก็เอาปากกามาขีดเครื่องหมายกากบาทบนปฏิทิน นับถอยหลังรอวันสึกด้วยใจจดจ่อ

       อยู่มาได้พักใหญ่พระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็สังเกตเห็นว่า ท่านเจ้าอาวาสวัดป่าแห่งนี้ไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยจา ซ้ำนานๆครั้งจะออกมาให้โอวาทกับลูกศิษย์เสียทีหนึ่ง วันๆไม่เห็นท่านทำอะไร เอาแต่กวาดใบไม้ เก็บขยะ ซักผ้าเอง (เณรน้อยก็มีไม่รู้จักใช้) สอนก็ไม่สอน การบริหารวัดก็มอบให้ท่านรองเจ้าอาวาสเป็นคนจัดการไปเสียทุกอย่าง เห็นแล้วเลยนึกร้อนวิชา เสนอให้ปรับโน่นลดนี่สารพัดที่ตัวเองเห็นว่าไม่เข้าท่าล้าสมัยรวมทั้งให้เสนอให้วัดใช้ไฟฟ้าแทนตะเกียงด้วยอีกข้อหนึ่ง เพราะตนเห็นว่ายุคสมัยก้าวไกลมามากแล้ว ไม่ควรจะทำตนเป็นคนหลังเขาให้คนอื่นเขาดูถูก อีกหนึ่งในข้อวิจารณ์จุดด้อยของวัดทั้งหลายเหล่านั้น พระใหม่เสนอให้หลวงพ่อเจ้าอาวาสมีปฏิสัมพันธ์กับพระลูกวัดให้มากขึ้นกว่านี้ สอนให้มากขึ้นเทศน์ให้มากขึ้น และแนะนำว่าคนระดับผู้บริหารไม่ควรจะทำงานอย่างการซักจีวรเองเป็นต้น ควรจะกระจายอำนาจมอบงานให้คนอื่นทำดีกว่า

       เย็นวันนั้นเป็นวันพระสิบห้าค่ำ หลวงพ่อเจ้าอาวาสมานั่งทำวัตรที่โบสถ์ธรรมชาติกลางลานทรายด้วย ท่านไม่ลืมที่จะหยิบข้อเสนอแนะจากพระใหม่มาอ่านให้พระหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายฟัง แต่ท่านไม่บอกว่าพระรูปไหนเป็นคนเขียน อ่านจบแล้วหลวงพ่อก็ยิ้มอย่างมีเมตตา พลางหยิบไมโครโฟนขึ้นมาแล้วชี้ให้ภิกษุหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายดูหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่งที่นอนอยู่ใต้ม้าหินอ่อนตัวหนึ่งจากใต้ต้นอโศกที่อยู่ ใกล้ๆ

       เธอทั้งหลายเห็นหมาขี้เรือนตัวนั้นหรือไม่ เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันเป็นขี้เรื้อนคันไปทั้งตัว ฉันเห็นมันวิ่งวุ่นไปมาทั้งวัน เดี๋ยวก็วิ่งไปนอนตรงนั้น เดี๋ยวก็ย้ายมานอนตรงนี้อยู่ที่ไหนก็อยู่ไม่ได้นานเพราะมันคัน แต่พวกเธอรู้ไหมเจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันไปนอนที่ไหนมันก็นึกด่าสถานที่นั้นอยู่ในใจ หาว่าแต่ละที่ไม่ได้ดั่งใจตัวเองสักอย่าง นอนที่ไหนก็ไม่หายคัน สถานที่เหล่านั้นช่างสกปรกสิ้นดี คิดอย่างนี้แล้วมันจึงวิ่งหาที่ที่ตัวเองนอนแล้วจะไม่คัน แต่หาเท่าไหร่มันก็หาไม่พบสักทีเลยต้องวิ่งไปทางนี้ทางโน้นอยู่ทั้งวัน เจ้าหมาโง่ตัวนั้น มันหารู้สักนิดไม่ว่าเจ้าสาเหตุแห่งอาการคันนั้น หาใช่เกิดจากสถานที่เหล่านั้นแต่อย่างใดไม่ แต่สาเหตุแห่งอาการคันอยู่ที่โรคของตัวมันเองนั่นต่างหากพูดจบแล้วหลวงพ่อก็วางไมโครโฟนลงเป็นสัญญาณให้รู้ว่า ได้เวลาภาวนาหลังการทำวัตรสวดมนต์เย็นแล้ว

 

       ขณะที่ทุกรูปนั่งหลับตาภาวนาอย่างสงบนั้น ในใจของพระใหม่กลับร้อนเร่าผิดปกติ นอกสงบแต่ในวุ่นวาย นึกอย่างไรก็มองเห็นตัวเองไม่ต่างไปจากหมาขี้เรื้อนที่หลวงพ่อชี้ให้ดู ยิ่งนั่งสมาธินานๆยิ่งคันคะเยอในหัวใจทั้งอายทั้งสมเพชตัวเอง นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาพระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากคนพูดมากกลายเป็นคนพูดน้อย จากคนที่หยิ่งยโสกลายเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน จากคนที่ชอบจับผิดคนอื่นกลายเป็นคนที่หันมาจับผิดตัวเอง เมื่อออกพรรษาแล้วโยมแม่มาขอให้ลาสิกขาเพื่อกลับไปสืบต่อธุรกิจจากครอบครัวท่านก็ยังไม่ยอมสึก

       “อาตมาเป็นหมาขี้เรื้อน ขออยู่รักษาโรคจนกว่าจะหายคันกับครูบาอาจารย์ที่นี่อีกสักหนึ่งพรรษา” โยมแม่ได้ฟังแล้วก็ได้แต่ยกมืออนุโมทนาสาธุการกราบลาพระลูกชาย  แล้วก็เดินออกจากวัดไปขึ้นรถพลางนึกถามตัวเองอยู่ในใจว่าคำว่าหมาขี้เรื้อน ของพระลูกชายหมายความว่าอย่างไรกันแน่หนอ

       ถ้าเรายังเป็นโรคอยู่ในใจ ไม่พอใจอะไรซักอย่าง เงินเดือนน้อย หน้าที่การงานไม่พัฒนา ตำแหน่งไม่ไปไหน ไม่ว่าเราย้ายงาน ไปที่ไหน เราก็ไม่พอใจ สถานที่เหล่านั้นไม่ดี คนไม่ได้เรื่อง ทั้ง ๆ ที่เราไม่เคยได้ดูตัวเองเลยว่า เราพัฒนาการทำงานของเรามั้ย ขวนขวายหาความรู้หรือเปล่า ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับหมาขี้เรื้อนตัวนั้นเลย

บทความจาก ธนาคารซอฟท์แวร์ ร่วมแรงและแบ่งปัน

วันพฤหัสบดีที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2556

กระต่ายกับเต่า ฉบับปริญญาโท

       กาลครั้งหนึ่ง เจ้าเต่ากับกระต่าย เถียงกันว่าใครเร็วกว่ากัน ทั้งคู่จึงตกลงที่จะ วิ่งแข่ง ก็มีการกำหนดเส้นทางวิ่งแล้วก็เริ่ม การแข่งขัน เจ้ากระต่ายนำโด่งมาไกลก็เลย ชะล่าใจ คิดว่าพักผ่อนใต้ต้นไม้ซักแป๊บนึงก่อนค่อยแข่งต่อก็คงดี ไปๆมาๆก็ง่วงสิ ตื่นมา อีกทีเจ้าเต่าก็คว้าแชมป์ไปแล้ว


       นิทานตอนนี้สอนให้รู้ว่า... ช้าๆแต่มั่นคงสามารถเอาชนะได้(เหมือนกัน) นี่เป็นเวอร์ชั่นเดะๆที่เราคุ้นหูกัน ไม่นานมานี้มีคนเล่าเวอร์ชั่นใหม่ที่น่าสนใจให้ฟัง ต่อเลยนะ....

       เจ้ากระต่ายสันหลังยาวก็รมณ์บ่จอยตามระเบียบที่แพ้ มันจึงค้นหาจุดอ่อนของตนเอง มันก็พบว่าความมั่นใจในตัวเองเกินไปบวกกับความขี้เกียจ ของมันนั่นแหละที่ทำให้แพ้ ถ้ามันไม่เผลอหลับซะอย่าง เต่าหน้าไหนจะเอาชนะมันได้ มันจึงขอแก้ตัวใหม่อีกครั้ง เฮ้ย..เมื่อกี๊ฟลุ้คอ๊ะป่าว แน่จริง..ใหม่เด่ะ


       เจ้าเต่าก็ตกลง "ย่อมได้ไอ้น้อง".... แน่นอนว่าครั้งนี้ เจ้าเต่าโดนทิ้งไม่เห็นฝุ่นกระต่ายชนะขาดลอย

       เราได้ข้อคิดอะไรล่ะ?... ต่อให้ช้าแต่ชัวร์ ยังไงก็แพ้เร็วและสม่ำเสมอ ถ้าเราเปรียบเทียบคนสองคนในองค์กรของเรา คนนึงช้าจริง ทำอะไรมีระบบระเบียบแบบแผน แต่ทำอะไรๆไม่เคยพลาด ไว้ใจได้แน่นอนในผลงานของเขา เทียบกับอีกคนนึงที่เร็วและก็พอไว้ใจได้ในสิ่งที่เขาทำ คนที่เร็วกว่ามักจะประสบความสำเร็จมีความเจริญก้าวหน้าในองค์กรนั้นๆมากกว่า (ซิกแซกไม่เป็น อะไรลัดได้ เร็วได้ก็ไม่กล้าเสี่ยงไม่กล้าทำ ผลงานก็เลยน้อยมั้ง) ไอ้ช้าแต่ชัวร์น่ะมันก็ดีอยู่หรอก แต่ให้เร็วและพอใช้ได้นี่ดีกว่า....

       เรื่องยังไม่จบแค่นี้... คราวนี้ถึงทีเจ้าเต่ามาหาจุดบกพร่องของตัวเองบ้าง และมันก็พบว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะชนะกระต่ายในเส้นทางการวิ่งแบบที่เป็นอยู่นี้ มันก็คิดอยู่ซักครู่หนึ่งก็ไปท้ากระต่ายแข่งใหม่ แต่ขอเปลี่ยนเส้นทางวิ่งซะหน่อย เจ้ากระต่ายก็ว่าย่อมได้อยู่แล้วเพ่ พอการแข่งเริ่มปุ๊บ เจ้ากระต่ายก็ใส่เกียร์ห้อออกไปเต็มสปีดเลย จนกระทั่งไปถึงระหว่างทาง “เฮ้ย!!!..เวรกรรม ต้องข้ามแม่น้ำ ทำไงล่ะตู...” เส้นชัยอยู่ไม่ห่างจากฝั่งตรงข้ามเท่าไหร่เลย เจ้ากระต่ายมัวแต่งงว่าจะทำไงดี จนเจ้าเต่าคืบคลานมาทันแล้วก็จ๋อมลงน้ำว่ายข้ามฝั่งไปเข้าเส้นชัย


       นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า.... พิจารณาจุดแข็งของตนให้ดีแล้วพยายามเปลี่ยนสนามการแข่งขันให้ตนเองได้เปรียบมากที่สุด ย๊างงง ยังไม่พอ มีต่อ.... ด้วยน้ำใจนักกีฬา ครั้งนี้เจ้าเต่ากับกระต่ายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันแล้ว ต่างคนต่างมาระดมสมองคิดด้วยกัน หากทั้งสองร่วมมือกัน การแข่งแบบเมื่อครั้งล่าสุดจะช่วยให้ทำเวลาได้ดีขึ้น ดังนั้น พวกมันจึงคิดจะแข่งอีกครั้ง แต่แข่งคราวนี้เป็นแบบทีมเวิร์ค เริ่มต้นเจ้ากระต่ายก็แบกเต่าวิ่งไปด้วยความเร็วสูง จนถึงริมแม่น้ำแล้วเจ้าเต่าก็ให้กระต่ายขี่หลังว่ายข้ามไป พอข้ามฝั่งเจ้ากระต่ายก็แบกเจ้าเต่าวิ่งต่อจนเข้าเส้นชัยด้วยกัน

ผลการแข่งครั้งนี้ สร้างความพึงพอใจให้กับทั้งสองฝ่าย(ตัว)มากกว่าการแข่งครั้งก่อนๆหน้านี้ 

       นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า....การมีจุดแข็งและความสามารถโดดเด่นเฉพาะตัวเป็นสิ่งที่ดี แต่หากไม่รู้จักทำงานร่วมกับผู้อื่น ยังไงก็ไปไม่รอด เพราะมันจะมีบางสถานการณ์ที่เราเจ๋งคนอื่นเจ๊ง ในขณะที่บางสถานการณ์เราเจ๊งแต่คนอื่นเจ๋ง ทีมเวิร์คสำคัญตรงที่การกำหนดผู้นำให้เหมาะกับสถานการณ์ให้ผู้ที่มีความถนัดกับสถานการณ์นั้นๆเป็นผู้นำกลุ่มในแต่ละช่วงสถานการณ์ที่เหมาะกับความสามารถของเขา นอกจากนี้เรายังได้บทเรียนอีกอย่างหนึ่งด้วยว่า ไม่ว่าเต่าหรือกระต่าย ไม่มีใครที่คิดเลิกล้มหรือท้อแท้หลังจากความความล้มเหลวได้เกิดขึ้น กระต่ายแก้ไขจุดบกพร่องของตนเองโดยการทำงานที่หนักขึ้น และเพิ่มความมุมานะในงานของตนเองหลังจากพบความล้มเหลว ส่วนเต่าได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ของตนใหม่ เพราะตัวมันเองได้ทำงานหนักที่สุดเท่าที่มันจะสามารถทำได้แล้วในชีวิต

       เมื่อเราพบกับปัญหาหรือความล้มเหลว บางครั้งเราก็ควรจะทำงานให้หนักขึ้นและมีความเอาใจใส่ในงานมากกว่าเดิม บางครั้งก็ควรเปลี่ยนแผนการทำงานและทดลองในสิ่งใหม่ๆที่แตกต่างออกไปและในบางครั้งก็จำเป็นต้องทำทั้งสองอย่างเลย นอกจากนั้น กระต่ายกับเต่าก็ได้บทเรียนที่สำคัญอีกอย่างคือ เมื่อเราหยุดการแข่งขันกับตัวบุคคล แล้วหันมาแข่งขันกับสถานการณ์แทน พวกมันจะทำงานได้ดีขึ้นมาก

ที่มา ธนาคารซอฟท์แวร์ ร่วมแรงและแบ่งปัน 

บริหารงานแบบ โฮ เรน โซ

       ช่วงนี้ดูไอหมอกจะสนใจหลักการบริหารงานเป็นพิเศษ ไม่รู้ว่าเนื่องมาจากสาเหตุใด แต่อาจเป็นเพราะรักที่จะเรียนรู้เรื่องการบริหารงานก็เป็นไปได้นะคะ วันนี้มีแนวทางการบริหารที่น่าสนใจมาฝากเพื่อนๆกัน กับหลักการบริหารงานสไตล์คนญี่ปุ่น ผู้ซึ่งทำงานออกมาอย่างมีประสิทธิภาพสูงเป็นอันดับต้นๆของโลก!! กับหลักการบริหารแบบ โฮ เรน โซ (Hou Ren Sou) เอ๊ะ .. แล้วเจ้าโฮ เรน โซ ที่ว่านี่มันคืออะไร อยากรู้จริงค่ะ

 

       คำว่า โฮ เรน โซ (Hou Ren Sou) เป็นคำเรียกสั้นๆ ที่เราใช้เรียกกันในเชิงของการบริหาร ซึ่งคำว่า Hou มาจากคำว่า Houkoku หรือ Report , คำว่า Ren มาจากคำว่า Renraku หรือ Frequent Communication และคำสุดท้ายคำว่า Sou มาจาก Soudan หรือ Discussion เรามาขยายความหมายของทั้ง 3 คำกันค่ะ

       Hou = Houkoku หรือ Report หมายถึง การรายงาน ซึ่งการรายงานผลการทำงานไม่ว่าจะในสถานะของเนื้องานแบบไหน เราจำเป็นต้องมีการรายงานผลการดำเนินงานให้หัวหน้างานรับทราบทุกครั้ง ถึงความสำเร็จของการทำงาน หรือแม้กระทั่งปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งต้องรายงานผลแบบตรงไปตรงมา เพื่อประโยชน์ในการทำงานอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที

       Ren = Renraku หรือ Frequent Communication  หมายถึง การประสานงาน เป็นส่วนสำคัญของการทำงานเป็นอย่างมาก เนื่องจากความร่วมมือซึ่งกันและกันในแต่ละส่วนงานเป็นผลให้เกิดความราบรื่นของทุกส่วนงาน รวมไปถึงความสัมพันธ์ที่ดีของแต่ละฝ่ายอีกด้วย

       Sou= Soudan หรือ Discussion หรือ การปรึกษา แนวคิด การวางแผน การตัดสินใจทุกอย่างล้วนรอบคอบและประสบผลสำเร็จหากร่วมกันคิด ช่วยกันทำ นั่นคือที่มาของคำว่า "หลายหัวดีกว่าหัวเดียว" ให้ไอเดียของแต่ละคน สามารถเป็นตัวจุดประเด็นต่อยอดการทำงานได้อย่างไม่มีข้อจำกัด

       ซึ่งหลักการทำงานทั้ง 3 อย่างนี้เป็นหลักการทำงานที่ชาวญี่ปุ่นยึดถือมาโดยตลอด ซึ่งเป็นผลให้การทำงานของชาวญี่ปุ่นได้ชื่อว่าเป็นมืออาชีพในการทำงาน ซึ่งคนไทยเรายังขาดส่วนนี้ไปมาก ไอหมอกเชื่อว่า การทำงานทุกอย่างจะสำเร็จไปได้อย่างราบรื่น ต้องมาจากความร่วมมือ ร่วมใจ ร่วมสมองกันอย่างไม่หยุดยั้ง หากคนไทยเราช่วยเหลือเกื้อกูลกันด้านความคิด คนไทยเราต้องสามารถแซงหน้าประเทศอื่นๆได้อย่างรวดเร็วก็เป็นได้

ที่มา .. ขงจื้อ และ Softbankthai

หัวหน้าที่ลูกน้องยอมรับ

       สวัสดีเพื่อนๆ อีกครั้งเช่นเคย วันนี้ไอหมอกขอต้อนรับเพื่อนๆในเดือนมีนาคม กันด้วยบทความดีดีที่ได้ไปอ่านมาจากธนาคารซอฟท์แวร์ ร่วมแรงและแบ่งปัน มาเพื่อแชร์ให้กับเพื่อนๆได้อ่าน และรู้ถึงแนวคิดของผู้เขียนกันว่า "อะไรที่ทำให้ลูกน้อง ยอมรับในตัวเรา?" คำถามนี้หลายๆคนที่อยู่ในตำแหน่งหัวหน้างาน ผู้บริหาร หรือไม่เว้นเจ้าของกิจการ ต่างก็คิดหาทางออกให้เป็นหัวหน้าที่ลูกน้องรัก บางทีเราก็ดูว่ามันช่างยากเย็นเหลือเกิน แต่ใครจะรู้ว่าหลายๆคนได้ประสบความสำหรับในการเป็นหัวหน้าที่ลูกน้องรักไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราลองมาดูกันว่า วิธีไหนที่หัวหน้าอย่างเราๆ จะได้ใจจากลูกน้องกันบ้าง

       เรามาเริ่มกันที่ "บันได 4 ขั้น เพื่อก้าวเป็นหัวหน้างานที่ลูกน้องยอมรับ"   เป็นประเด็นแรกกันก่อนเลยนะคะ

1. เป็นหัวหน้า ต้องขยันทุ่มเท เรียนรู้งาน ใผ่รู้อยู่เสมอ
       เพื่อนๆที่เป็นหัวหน้างานคงไม่อยากตกอยู่ในสถานการณ์ที่ว่า ลูกน้องมาปรึกษาและหาช่องทางเพื่อแก้ไขปัญหา แต่หัวหน้าอย่างเราๆ ไม่สามารถให้คำปรึกษาได้ เอาละสิคะ ประเด็นนี้ขึ้นมาปุ๊กไอหมอกรู้สึกถึง ความรู้สึกแย่ข้างใจจิตใจของเราขึ้นมาได้ทันที ทำไมเราเป็นหัวหน้าที่ไม่ได้เรื่องแบบนี้ แค่นี้ก็ให้คำปรึกษาและชี้แนะลูกน้องไม่ได้ เมื่อเกิดความรู้สึกแบบนี้ขึ้นมาแล้ว แน่นอนหัวหน้าอย่างเราๆ ไม่อยู่นิ่งเฉยเป็นแน่ การเรียนรู้เท่านั้นที่จะช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น การเป็นหัวหน้าต้องทุ่มเท ขยันศึกษาหาความรู้ เพื่อแก้ปัญหาและตอบโจทย์ให้กับลูกน้องได้ หากเราคิดในทางกลับกัน เราก็คงไม่อยากได้หัวหน้าที่ไม่สามารถช่วยเราคิดอะไรได้เลย ถูกต้องมั้ยคะ

2. รู้จักถ่ายทอดความรู้ สอนงานเป็น ให้คนอื่นทำงานได้
       ประเด็นนี้ไอหมอกคิดว่าเป็นข้อสำคัญของการเป็นหัวหน้าเลยค่ะ ในการที่เรามีความรู้ความสามารถแต่เก็บอมพะนำไว้คนเดียว หวงความรู้ไม่สอนใครราวกับเป็นงูจงอางหวงไข่นั่นเป็นการแสดงให้เห็นว่า คุณยังไม่มีสัญชาตญาณความเป็นหัวหน้าที่ดีได้นั่นเอง การเป็นหัวหน้าคนต้องรู้จักสอน สอนให้เป็น สอนให้เก่ง เพื่อให้ลูกน้องของเรา เก่งขึ้นไปเรื่อยๆและเก่งมากกว่าเราได้ยิ่งดี เมื่อเราสอนแต่ไม่ไว้วางใจให้ลูกน้องได้ทำงานจริงๆเองบ้าง ทุกอย่างที่เราสอนมาไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ เสียเวลาเปล่าๆ การให้ลูกน้องทำหน้าที่สำคัญแทนเรา เป็นการแสดงให้เห็นว่า เราไว้วางใจเค้ามากน้อยแค่ไหน นั่นแหละค่ะลูกน้องของเราจะกลายเป็นคนที่รักในการทำงานอย่างเต็มที่ และสามารถทำงานแทนเราได้อย่างมีประสิทธิภาพแน่นอน

3. รวบรวมข้อมูล คิดวิเคราะห์ ตัดสินใจแก้ไขปัญหา
       การเป็นหัวหน้างานที่ดีต้องสามารถวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้น และสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็วบนพื้นฐานของความถูกต้อง ซึ่งการที่เราจะแก้ไขปัญหาสักอย่างหนึ่งนั้น สิ่งสำคัญที่เราพึงจะต้องมีนั่นคือ ข้อมูลของสาเหตุตัวปัญหานั้นๆ หากหัวหน้างานไม่สามารถวิเคราะห์ได้ว่า ปัญหานั้นเกิดขึ้นเนื่องจากสาเหตุใด และแก้ไขปัญหาได้ด้วยวิธีไหน แสดงว่าหัวหน้าคนนั้นๆ ไม่ได้มีข้อมูลที่สำคัญอยู่ภายในแนวคิดเอาซะเลย กังนั้นหัวหน้าต้องเปิดใจกล้างเพือ่รับเอาความรู้ ข้อมูลสำคัญต่างๆ เพื่อเป็นประโยชน์ในการบริหารงานได้อย่างคล่องแคล่ว และแก้ปัญหาได้ตรงจุดอย่างน่าภาคภูมิใจในสายตาของลูกค้า

4. วางแผนบริหารงาน บริหารคน อย่างเป็นธรรม และเป็นตัวอย่างที่ดี
       ข้อนี้มีคำอธบายอยู่ในประโยคของมันอย่างดีเยี่ยมอยู่แล้ว หัวหน้าทุกคนต้องมีความคิดเป็นผู้บริหาร บริหารงานและบริหารคนให้สามารถเดินต่อไปด้วยกันอย่างมีคุณภาพ ใช้หลักธรรมเข้ามาเป็นส่วนสำคัญในการปริหาร ไม่ใช้ความลำเอียงในการตัดสินปัญหา และที่สำคัญเราต้องการลูกน้องที่น่ารักแบบไหน ให้เราเป็นหัวหน้าที่น่ารักแบบนั้น เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูกน้องสืบต่อไป

       เรามักพบว่า หัวหน้างานหรือผู้จัดการที่ไม่ประสบความสำเร็จ มักเกิดจากคุณลักษณะส่วนตัวและพฤติกรรมการกระทำที่ไม่เหมาะสมซึ่งเป็นเรื่องส่วนตัวนำมาเกี่ยวข้องกับงาน ทำให้ลูกน้องประเมินว่าไม่เหมาะสม ทำให้ขาดความเชื่อถือไว้วางใจ ไม่ให้ความร่วมมือ ดังนั้น พฤติกรรมการกระทำต่างๆ ที่เป็นตัวอย่างไม่ดีอาจเป็นสาเหตุให้ตำแหน่งหัวหน้างานที่มีคุณภาพนั้นหลุดมือของคุณไปอย่างง่ายดาย เพียงเพราะหัวหน้าไม่เป็นที่ยอมรับจากลูกน้อง และเมื่อหัวหน้าไม่มีลูกน้อง แล้วจะเป็นหัวหน้าที่สมบูรณ์แบบได้อย่างไร?

วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

การบริหารความกดดันทางธุรกิจ

       ตอนที่แล้ว "เปลี่ยนมุมมองธุรกิจ สไตล์ Gen Y" เราได้พูดถึง ความคิดของ Peter Sheahan น่าสนใจเพราะเป็นคนหนุ่มที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วในการคิด การพูด และการเขียนจนได้รับการยกย่องว่าเป็น “A next generation thinker.” นักคิดของคนยุคต่อไป วันนี้เรามาดูกันต่อว่า เมื่อเกิดความกดดันขึ้นกับธุรกิจของเรา เราจะทำยังไงต่อไปดี



       แล้วเราจะต้องทำอย่างไร เมื่อมีความกดดันเหล่านี้เกิดขึ้นกับธุรกิจของเรา Peter Sheahan แนะนำว่าควรทำสิ่งต่อไปนี้

       •      สำรวจด้วยตนเองว่ามีสิ่งใดบ้างที่เป็นความกดดันต่อตัวคุณและธุรกิจของคุณ เกี่ยวกับเรื่องเวลาและสถานที่ (Time and space) ให้เขียนรายการสิ่งที่เป็นความกดดันออกมาเป็นข้อๆ เพื่อนำไปศึกษาหาแนวทางเปลี่ยนแปลงแก้ไขต่อไป

       •      ให้คิดถึงความซับซ้อน (Complexity) ที่โยงใยและมีผลกระทบมาถึงตัวคุณและธุรกิจของคุณ แต่สิ่งสำคัญที่คุณต้องพิจารณาคือ ความซับซ้อนที่กำลังเกิดขึ้นจะมีผลกระทบอะไรต่อลูกค้าของคุณบ้าง และคุณมียุทธศาสตร์อะไรในการลดความซับซ้อนนั้นลงในกระบวนการทำธุรกิจของคุณ ทำอย่างไรให้สิ่งต่างๆในธุรกิจของคุณมีความง่าย(Simplifying)มากขึ้น

       •      จัดทีมงานรับผิดชอบในการศึกษาเพื่อขจัดความล่าช้าในขั้นตอนต่างๆของการทำธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งขั้นตอนการติดต่อสื่อสารภายในองค์กรธุรกิจของคุณ และขั้นตอนการติดต่อสื่อสารภายนอกองค์กรกับลูกค้าและตลาดธุรกิจของคุณ

       •      ถามตนเองว่าเราจะเพิ่มมูลค่าอะไรให้ลูกค้าได้มากขึ้นในอนาคตอันใกล้ ทั้งในรูปสินค้าและบริการ

       นำเอาสิ่งที่เราคิดสำรวจได้ข้างต้น เข้าสู่การระดมสมองของคณะผู้บริหารเพื่อหาหนทางปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ เปลี่ยนแปลงกระบวนการทำธุรกิจเพื่อตอบสนองความกดดันที่เกิดขึ้นต่อธุรกิจของเรา

       การทำธุรกิจในทุกวันนี้ ไม่ได้เป็นเรื่องเฉพาะธุรกิจเท่านั้น แต่ธุรกิจเป็นเรื่องส่วนบุคคลด้วย แนวคิดการทำธุรกิจแบบเดิมคือ ธุรกิจคือธุรกิจ (Business is business) คงไม่เพียงพอแล้วครับ ธุรกิจในยุคนี้ต้องรวมเรื่องส่วนบุคคล(Business is personal) เข้ามาด้วย เพราะผู้บริโภค หรือ ผู้ซื้อในปัจจุบัน ไม่ได้ต้องการซื้อเฉพาะสินค้า หรือบริการที่ขายเท่านั้น แต่สิ่งที่เขาต้องการมากกว่าสินค้าหรือบริการที่เขาซื้อคือ เขาต้องการทำธุรกิจที่เขาพึงพอใจจากคนที่เขารู้จัก (People they know) คนที่เขาชอบ (People they like) และคนที่เขาไว้ใจ (People they trust) เพราะปัจจุบันช่องทางการทำให้คนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการเป็นไปได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว ทั้งจากการเผยแพร่ให้ความรู้ของหน่วยงานทางราชการที่กฎหมายกำหนดให้กระทำ หรือจากคู่แข่งขันของเราที่เต็มใจกระทำให้ข้อมูลเพื่อแนะนำสินค้าและบริการของเขา ซึ่งผู้บริโภคและผู้ซื้อสามารถนำมาเปรียบเทียบกับสินค้าและบริการของเราได้ และจากผู้บริโภคและผู้ซื้อเองที่ตั้งใจกระทำ โดยเป็นผู้เผยแพร่ข้อมูลสินค้าและบริการของเราให้แก่คนอื่นๆทราบ ดังนั้นกระบวนทัศน์หรือมุมมองในการมองผู้ซื้อหรือผู้บริโภคจึงต้องเปลี่ยนไป เหมือนดังคำกล่าวที่ว่า “People don’t buy products or services, they buy what those products or services do.” คนไม่ได้ซื้อสินค้าหรือบริการ คนซื้อสิ่งที่สินค้าหรือบริการทำให้เขา

       Flint McLaughlin กล่าวว่า “People don’t want to be marketed to, they want to be communicated with” คนไม่อยากถูกทำการตลาดกับ แต่อยากถูกติดต่อสื่อสารด้วย

เปลี่ยนมุมมองธุรกิจ สไตล์ Gen Y


       สวัสดีเพื่อนๆชาวไอหมอกอีกครั้งค่ะ วันนี้ไอหมอกขอนำเอาข้อคิดดีดีเกี่ยวกับมุมมองของการทำธุรกิจจากหนังสือ "Flip" ของ Peter Sheahan ผู้ก่อตั้งและเป็นผู้บริหารสูงสุดของบริษัท ChangeLabs มาฝากเพื่อนๆกัน เพื่อเป็นการเปิดมุมมองใหม่ๆทางด้านธุรกิจ และไอหมอกเชื่อว่าบทความนี้จะสามารถทำให้หลายๆท่านต่อยอดธุรกิจได้อย่างดีเลยทีเดียวค่ะ ^^


       “Trust in the LORD with all your heart. Never rely on what you think you know. Remember the LORD in everything you do, and he will show you the right way. Never let yourself think that you are wiser than you are; simply obey the LORD and refuse to do wrong.”                                                                                 Proverbs 3:5-7

       การทำธุรกิจในปัจจุบันต้องมีมุมมองใหม่ของยุทธศาสตร์ การดำเนินการ ลูกค้า และบุคลากร “Business today requires new perspectives on strategy, operations, customers and staff.” เป็นประโยคเปิดนำในหนังสือชื่อ Flip เขียนโดย Peter Sheahan ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งและเป็นผู้บริหารสูงสุดของบริษัท ChangeLabs บริษัทที่ปรึกษาระดับนานาชาติที่มีลูกค้าเป็นบริษัทชั้นนำเช่น Google, Goldman Sachs, Sony, Hilton Hotels, Harley Davidson, GlaxoSmithKline, Cisco และ Pizza Hut เป็นต้น

       ความคิดของ Peter Sheahan น่าสนใจเพราะเป็นคนหนุ่มที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วในการคิด การพูด และการเขียนจนได้รับการยกย่องว่าเป็น “A next generation thinker.” นักคิดของคนยุคต่อไป เขาเป็นนักพูดในเวทีสัมมนาทั่วโลก และมีงานเขียนที่โด่งดังคือหนังสือชื่อ “Generation Y”, “Making It Happen” และ “Flip”

       ในหนังสือชื่อ Flip ของเขา Peter Sheahan ให้ความเห็นว่าโลกในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจนเราไม่สามารถจะหยุดนิ่งอยู่กับความคิดและความเคยชินเก่าๆอีกต่อไปได้แล้ว เราจำเป็นต้องเปลี่ยนความคิดของเราในการทำธุรกิจให้ทันต่อเหตุการณ์และสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และสิ่งที่บีบบังคับให้เราต้องเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลามาจาก 4 แรงขับดันคือ

       1.   Increasing compression of time and space
              เพราะมนุษย์มีความอดทนต่ำและนับวันจะมีความอดทนต่ำลงเรื่อยๆ จนแทบจะไม่สามารถจะหยุดรอคอยอะไรได้อีก ยิ่งในยุคการสื่อสารไร้พรมแดนปัจจุบัน เทคโนโลยีทำให้เกิดความรวดเร็วได้ในบัดดล เรายิ่งมีความคาดหวังให้เกิดความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ความกดดันเรื่องเวลาจึงเป็นปัจจัยชี้วัดความสำเร็จตัวหนึ่งในสนามแข่งขันธุรกิจ ในอดีตเราอาจจะคิดว่าการทำมากขึ้นด้วยเวลาที่น้อยลง (Doing more with less) คือความมีประสิทธิภาพแล้ว แต่ปัจจุบันความคิดแค่นี้คงไม่เพียงพอแล้ว ต้องเพิ่มความรวดเร็วเข้าไปเป็น “doing more with less, faster” เพราะการทำธุรกิจในปัจจุบันไม่มีเส้นแบ่งพรมแดนประเทศทางภูมิศาสตร์อย่างในอดีตอีกแล้ว การค้าเสรี การเงินเสรี การตลาดเสรี ทำให้การเคลื่อนย้ายคน สินค้า และเงินลงทุนเสรีมากขึ้นตามไปด้วย ระยะทางไกลกลายเป็นใกล้เพราะการสื่อสารของโลกรวดเร็ว ย่นระยะเวลาการติดต่อ ทำให้โลกในการติดต่อธุรกิจเล็กลง (The world is getting smaller) แต่ในเวลาเดียวกันการที่เราสามารถติดต่อสื่อสารกับคนทั่วโลกได้จำนวนมากขึ้นโดยใช้เวลาเพียงชั่วอึดใจเดียวทำให้โลกในการทำธุรกิจของเราใหญ่ขึ้น (The world is getting bigger) ความกดดันนี้ทำให้เราต้องเปลี่ยนความคิดในการทำธุรกิจใหม่ เพื่อสามารถตอบรับกับความคาดหวังของคนที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

       2.  Increasing complexity
              เพราะโลกธุรกิจที่เล็กลงและโตขึ้นในเวลาเดียวกันทำให้เรามีความซับซ้อนและยุ่งยากมากขึ้นในการทำธุรกิจ เครือข่ายการติดต่อที่โยงใยกันทั้งโลก ทำให้มีทั้งผู้ขายและผู้ซื้อใหม่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา มีสินค้าใหม่เข้ามาแข่งกับสินค้าเก่า มีเทคโนโลยีใหม่เข้ามาแทนที่เทคโนโลยีเดิม มีความคิดใหม่ ทางเลือกใหม่ กระแสใหม่เกิดขึ้นและลุกลามแพร่หลายอย่างรวดเร็ว ทำให้กระบวนการในการบริหารจัดการความยุ่งยากซับซ้อนที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องเป็นสิ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ความคิดในการทำธุรกิจแบบปกติเหมือนอย่างเคยทำ(Doing business as usual) ไม่สามารถทำได้อีกต่อไปแล้ว

       3.  Increasing transparency and accountability
              เพราะทุกวันนี้เราแทบจะไม่มีที่สำหรับความลับส่วนตัวกันแล้ว แมลงวันหนึ่งตัวตกในชามบะหมี่มีคนรู้ได้เป็นร้อยเป็นพันคนทันทีที่ถูก Post จากมือถือเข้า line เข้า Facebook เทคโนโลยีทางการสื่อสาร ทำให้เกิดสังคม online ที่สามารถแพร่หลายกระจายข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ความโปร่งใส และความเชื่อถือได้จึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการทำธุรกิจ เพราะสังคมได้สร้างมาตรฐานใหม่ในการตัดสินใจยอมรับสินค้าหรือบริการ จากความไว้วางใจ (Trust) ในตัวผู้ผลิต หรือผู้ให้บริการ ความรับผิดชอบต่อคุณภาพของสินค้าและบริการ ความซื่อสัตย์ยุติธรรมในเรื่องราคา สิทธิการรับรู้ของผู้บริโภค ความรับผิดชอบต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโลก เสรีภาพและ สิทธิมนุษยชน รวมไปถึงเรื่องคุณธรรม จริยธรรม และ จรรยาบรรณ เป็นเรื่องที่สังคมคาดหวังและเอามารวมกับการทำธุรกิจ สินค้าที่แอบเอาเนื้อม้า มาผสมกับเนื้อวัว แล้วหลอกขายเป็นเนื้อวัว สังคมและผู้บริโภคไม่ยอมรับและกดดันให้เก็บออกไปจากตลาดทันที เป็นตัวอย่างล่าสุดที่เกิดขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงน้ำหนักความกดดันเรื่องความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือในการทำธุรกิจ

       4.    Increasing expectations on the part of everyone for everything
              เพราะความคาดหวังของคนในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและเพิ่มความคาดหวังมากขึ้นเรื่อยๆตามกระแสบริโภคนิยม เมื่อความคาดหวังที่ระดับหนึ่งบรรลุความคาดหวังแล้ว จะเกิดความคาดหวังระดับสูงมากขึ้นอันใหม่เข้ามาแทนที่ สิ่งที่เคยเป็นเพียงความปรารถนา (Desire) เมื่อได้รับสิ่งนั้นสมความปรารถนา (Satisfied) สิ่งนั้นจะกลายเป็นสิ่งจำเป็นต้องมี (Necessity) ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ความคาดหวังของคนในกระแสโลกาภิวัฒน์ได้แพร่ระบาดไปในคนทุกระดับชั้นในสังคม ยุทธศาสตร์การทำธุรกิจที่เคยประสบความสำเร็จแบบ ถูก เร็ว ดี ในวันนี้ต้องเพิ่มคุณค่า (Extra value) เข้าไปถึงจะสามารถแข่งขันได้ ความคาดหวังจึงเป็นอีกหนึ่งความกดดันที่ทำให้เราต้องเปลี่ยนแปลงการทำธุรกิจอยู่ตลอดเวลา

วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

JAL สายการบินตรงเวลาที่สุดในโลก

       องค์กรด้านสถิติการบินระหว่างประเทศเผยผลสำรวจ ล่าสุดที่ระบุว่า สายการบินเจแปน แอร์ไลน์ส (JAL) ของญี่ปุ่นครองตำแหน่งสายการบินที่ “ตรงเวลา” มากที่สุดในโลกส่วน “การบินไทย” ไม่มีรายชื่อติดโผด้านความตรงต่อเวลา

       รายงานข่าวซึ่งอ้างผลสำรวจล่าสุดของ “ไฟลต์สแต็ทส์ อิงก์” องค์กรรวบรวมข้อมูลและสถิติด้านการบินระหว่างประเทศชื่อดัง แห่งเมืองพอร์ทแลนด์ของสหรัฐฯ ระบุว่า สายการบินเจแปน แอร์ไลน์ส หรือ “เจเอแอล” สายการบินแห่งชาติของญี่ปุ่นซึ่งมีฐานอยู่ที่เมืองชินางาวะในกรุงโตเกียว ถือเป็นสายการบินที่มีสถิติด้านการตรงต่อเวลาของเที่ยวบินสูงที่สุดในโลกโดยเที่ยวบินที่ให้บริการได้ตรงตามเวลาของเจแปน แอร์ไลน์สมีจำนวนกว่า 90.35 เปอร์เซ็นต์ของเที่ยวบินทั้งหมดของสายการบินแห่งนี้ถือเป็นสายการบินพาณิชย์ที่ “ตรงเวลาที่สุด” ในอุตสาหกรรมการบินโลก


       ส่วนสายการบินที่มีสถิติด้านการตรงต่อเวลาที่สุดติด “ท็อปเท็น” ของโลก รองลงมาจากเจแปน แอร์ไลน์ส ประกอบด้วย สายการบินออล นิปปอน แอร์เวย์ส ของญี่ปุ่น (มีเที่ยวบินให้บริการตรงเวลา 88.48% ของเที่ยวบินทั้งหมด), เอสเอเอส สแกนดิเนเวียน แอร์ไลน์สของสวีเดน เดนมาร์ก และนอร์เวย์ (87.91%), สายการบินเคแอลเอ็มจากเนเธอร์แลนด์ (87.85%), แอร์ นิวซีแลนด์ (87.76%), สายการบินกัล์ฟ แอร์ของประเทศบาห์เรน (87.71%), สายการบินเดลตา แอร์ ไลน์สของสหรัฐฯ (85.95%), ฟินน์แอร์จากฟินแลนด์ (85.90%), สายการบินอาลิตาเลียจากอิตาลี (83.76%) และอันดับที่ 10 คือ สายการบินลุฟท์ฮันซาแห่งเยอรมนี ที่เป็นสายการบินใหญ่ที่สุดของทวีปยุโรป (83.51% )

       ส่วนสายการบินที่มีสถิติการตรงต่อเวลาของเที่ยวบินมากที่สุดในอันดับที่ 11-20 ของโลก ตามข้อมูลของ “ไฟลต์สแต็ทส์ อิงก์” ประกอบด้วย แควนตัสของออสเตรเลีย (มีเที่ยวบินให้บริการตรงเวลาคิดเป็น 82.66% ของเที่ยวบินทั้งหมด), แอร์ เบอร์ลินของเยอรมนี (81.80%), สิงคโปร์ แอร์ไลน์ส(80.87%), แอร์ฟรานซ์ (80.76%), สวิสแอร์ (80.24%), มาเลเซีย แอร์ไลน์ส (80.19%), สายการบินยูไนเต็ด แอร์ไลน์สของสหรัฐฯ (76.94%), สายการบินอเมริกัน แอร์ไลน์ส (76.93%), สายการบินเวอร์จิน แอตแลนติก ของ “เซอร์ ริชาร์ด แบรนสัน” มหาเศรษฐีชื่อก้องโลกชาวอังกฤษ (76.77%) และปิดท้ายด้วยอันดับที่ 20 คือ สายการบินเอเชียนาของเกาหลีใต้ (76.73%)

       อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าสังเกตว่าการบินไทย และสายการบินอื่นๆ ของประเทศไทยไม่มีชื่อติดอันดับด้านการให้บริการที่ตรงต่อเวลาจากผลสำรวจขององค์กร “ไฟลต์สแต็ทส์ อิงก์” ของสหรัฐฯ ในครั้งนี้แต่อย่างใด

       ไม่ว่าจะยุคไหนก็ตาม ญี่ปุ่นยังคงเป็นที่หนึ่งของการมีวินัย และการตรงต่อเวลาอยู่เสมอ และนี่คือสิ่งที่เราทุกคนจะต้องตระหนักมากขึ้นว่า หากเรายังไม่มีความตรงต่อเวลา ภาพลักษณ์ทุกอย่างของเราก็จะส่งผลให้หลายๆส่วนอาจต้องหลุดมือไปอย่างดึงกลับคืนไม่ได้ ไอหมอกคิดว่า ถ้าคนไทยร่วมใจกันตรงต่อเวลา มีวินัยอย่างเต็มหัวใจได้เท่าเสี้ยวหนึ่งของคนญี่ปุ่น ไอหมอกเชื่อว่า อีกไม่นานประเทศไทยอาจติดอันดับต้นๆ เรื่องความน่าอยู่ก็เป็นได้

ที่มา .. ผู้จัดการออนไลน์

การที่จะรุก อย่าลืมตั้งรับ


       สวัสดีอีกครั้งค่ะ เพื่อนๆชาวไอหมอก วันนี้ที่เชียงใหม่อากาศเย็นๆ คงเป็นผลมาจากฝนตกเมื่อวาน ทำให้ไอหมอกได้ทีเริงร่ากันเลยทีเดียวค่ะ ห่างหายไปนานเลยสำหรับเดือนกุมภาพันธ์ ไม่รู้ว่าเพื่อนๆจะคิดถึงไอหมอกกันบ้างมั้ยน๊าาา .. ?? วันนี้เรามาเริ่มต้นกันที่เรื่องของ การเดินหน้าเข้าสู่เป้าหมาย นั่นคือ การรุกเพื่อตีเป้าหมายที่เราวางไว้

       หลายๆคนคงชื่นชอบการที่จะเป็นฝ่ายรุก เนื่องจากมันคือความท้าทาย ยิ่งมีคู่แข่งยิ่งชอบ ยิ่งต้องต่อสู้ยิ่งสนุก เพราะนั่นคือการทดสอบความสามารถของคนเราเอง ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย ไหวพริบ ความคิด หรือความรู้ต่างๆ แต่หลายๆคนมักจะลืมไปว่า บางทีการที่เราออกล่า อาจมีบางอย่างที่เคลื่อนตัวเข้าสู่ฐานที่มั่นของเราอยู่ก็เป็นได้ บางครั้งการที่เราออกรุกอย่างเมามันนั้น อาจทำให้เราเกิดความชะล่าใจ ออกเดินทางออกไปไกลเรื่อยๆ จนลืมไปว่า การรักษาฐานที่มั่นของเราก็สำคัญไม่แพ้กัน บางคนอาจจะออกไปรุกในหนทางข้างหน้าอย่างหรรษา ติดอยู่ในภวังค์ของรสชาติที่หอมหวานที่ได้มา แต่ขณะเดียวกันฐานที่มั่นกำลังถูกโจมตี กลับมาพบเจอแต่ความว่างเปล่า ...  เพื่อนๆคงไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้หรอกใช่มั้ยคะ


       ในการรุก อย่าลืมตั้งรับ นี่คือประโยคสั้นๆที่ได้ใจความเป็นอย่างมาก เป็นประโยคเดียวที่เตือนสติไอหมอกได้อยู่เสมอ การที่เราคิดที่จะรุก เราอย่าลืมวางแผนที่จะรับมือกับสิ่งต่างๆที่จะเกิดขึ้นไปพร้อมๆกันด้วย เพราะสิ่งที่เรามีอยู่ หากเรารักษามันไว้ไม่ได้ สุดท้ายการที่เรารุกไปก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรขึ้นมาเลยสักนิด โดยธรรมชาติของคนเรามองแต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้า ไม่มองในส่วนที่ควรจะหาทางป้องกันจากทางด้านหลัง หรือด้านข้างที่อาจเข้ามาโจมตี ซึ่งด้วยเหตุผลนี้เป็นสำคัญที่ทำให้หลายๆท่าน ล้มลงอย่างไม่เป็นท่ามานักต่อนักแล้ว

       จริงๆในเรื่องของการรุก และตั้งรับ บรรพบุรุษของไทยเราก็สอนมาแต่เนิ่นๆ จะเห็นได้ภาพยนตร์ต่างๆที่สร้างขึ้นเกี่ยวกับการต่อสู้เพื่อชาติ ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ไทย และภาพยนตร์เกี่ยวเนื่องต่างๆ จะสอนให้เหล่าทหารกล้าทุกท่าน มีเทคนิคในการรุกรา ฟันแทงด้วยดาบ และตั้งรับด้วยโล่จากแขนอีกข้างหนึ่งอย่างคล่องแคล่ว พริ้วไหวอย่างแข่งแกร่งสอดคล้องกันไปด้วย ซึ่งถ้าพูดกันให้เห็นภาพโดยง่ายๆ ก็เห็นได้จากหากเราคิดที่จะฟันแทง รบรา รุกไปอย่างสุดตัว โดยที่ไม่มีการรับมือ หรือปกป้องผู้ที่จะมาทำร้ายตัวเองไปพร้อมๆกัน เมื่อนั้นแหละที่จังหวะการพลาดท่าจะเข้ามาเยือน ท่านอาจจะต้องกับอาวุธของศัตรู หรือคู่แข่งจากเพียงแค่เสี้ยววินาที แต่สิ่งเหล่านั้นอาจทำให้ท่านอ่อนล้าลง หมดแรง เจ็บปวด และสู้ไม่ไหวในที่สุดก็เป็นได้


       ไอหมอกคิดว่า บางทีที่เราจะทำอะไรสักอย่างเราต้องคิดถึงจุดที่เราจะสามารถกลับมานั่งพักยามเราเหน็ดเหนื่อยจากการรุก และการต่อสู้ นึกถึงสถานที่ที่เราจะต้องกลับมาเต็มพลังได้ ฐานที่มั่นของเราไม่ว่าจะเป็นบ้าน เป็นธุรกิจ หรือสิ่งอื่นใกก็ตาม เราจะต้องมีการวางแผนเพื่อไม่ให้ใครมาทำร้ายเราได้ และหาวิธีการป้องกันและรักษาฐานของเราให้ดีที่สุด เพื่อที่เราจะสามารถลุกขึ้นกลับมาสู้อีกครั้งได้อย่างเต็มภาคภูมิและมั่นคง จากความแข่งแกร่งของฐานเราได้เป็นอย่างดีสืบต่อไป

วันพุธที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2556

พยายามเข้าใจ หรือ ตัดความสนใจ

       สวัสดีตอนเช้าๆ แบบนี้อีกครั้งค่ะเพื่อนๆชาวไอหมอก วันนี้ถึงแม้ว่าอากาศที่เชียงใหม่จะออกเย็นๆ แต่ก็ยังมีแสงแดดอ่อนๆสาดลงมาตั้งแต่เช้าตรู่เลยค่ะ ถือว่าเป็นอีกเช้าหนึ่งที่อากาศดีไม่น้อยเลยทีเดียว แต่เพื่อนๆอย่าลืมดูแลสุขภาพกันด้วยนะคะ เพราะว่าอากาศช่างเปลี่ยนแปลงบ่อยซะเหลือเกิน สุขภาพดีทั้งกายและใจ เป็นบ่อเกิดความดีงามในทุกๆสิ่งนะคะ :) 

       วันนี้ไอหมอกเจอเคสแบบว่า เพื่อนๆเราช่างกลัดกลุ้มใจซะเหลือเกินที่บางทีก็ต้องทำงานในฟิวแบบว่าไม่อยากทำเพราะเหตุผลนั่นนี่บางประการ แต่ประการที่เราเห็นกันได้บ่อยๆคือ หัวหน้างานมักจะอารมเสีย เลยพลอยทำให้น้องๆในทีมงานรู้สึกเกร็งในการทำงาน แน่นอนค่ะไอหมอกเชื่อว่าสถานการณ์แบบนี้พนักงานประจำทุกท่านเคยเจอ 100% แต่เรามาคิดในแง่ดีกันดีกว่าว่าหัวหน้างานของเราที่อารมเสียมานั้น ย่อมมีเหตุผลให้อารมเสีย คงไม่มีใครหรอกนะคะที่จะอยู่ๆจะอารมเสียขึ้นมาแบบไม่บอกกล่าวกับใครๆ โดยที่ไม่มีสาเหตุหรือเรื่องราวใดๆมาสะกิดต่อมอารมณ์ (อันนี้ไม่นับรวมวัยทอง สาวตั้งครรภ์ และประจำเดือนมานะคะ อิอิ) นั่นไงเมื่อหัวหน้างานอารมเสีย น้องๆในทีมงานก็พลอยอารมเสียไปด้วย เอ้ยย่ะ สรุปอารมเสีย และเกร็งกันทั้งทีม .. หุหุ หน้าตาเคร่งเครียดกันไปเลยทั้งวันล่ะทีนี้


       เอางี้ค่ะเรามาคิดง่ายๆกันดีกว่า เราจะได้ไม่อารมเสียตามๆเค้าไปด้วยอีกคน ไอหมอกขอแชร์แนวคิดให้กับน้องๆที่ทำงานแล้วมีหัสหน้างานกันสักนิดนะคะ ถึงแม้ว่าวันนี้หัวหน้างานเราจะอารมเสีย ก็ใช่ว่าจะอารมเสียเพราะเรา หรือลงระเบิดตูมตามที่เรา แต่เค้าอาจจะมีอาการท่าทีเสียงแข็งไปบ้าง ไม่เป็นไรเราก็พยายามเข้าใจให้ได้ว่า เค้าอาจจะรับแรงกดดัน หรืออะไรต่างๆนานามาจากหัวหน้างานหรือผู้บริหารระดับสูงมาอีกทีก็เป็นได้ ซึ่งเราก็ไม่ได้รับรู้ว่าเค้าโดนอะไรมาบ้าง ถ้าเราพยายามเข้าใจว่าเค้าโดนมาเยอะ เราก็จะรู้สึกว่าที่เค้าเป็นแบบนี้ มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แค่นี้เราก็จะไม่เครียดหรืออารมเสียตามเค้าไปด้วยอีกคน

       แต่ถ้าน้องๆอีกกลุ่มบอกว่า "โหยย พยายามเข้าใจแล้วนะคะ แต่นู๋ก็ไม่เข้าใจเค้าอยู่ดี ทำไมเค้าเป็นแบบนั้น แบบนี้ ฯลฯ" อันนี้ไอหมอกแนะนำง่ายๆว่า หากเราเข้าใจเค้ายากนัก เราก็ตัดเค้าออกไปเลยสิคะ ง่ายกว่าพยายามเข้าใจอีกตั้งเยอะ คำว่าตัดเค้า คือการที่เราไม่ต้องเก็บเอาอะไรที่ไม่เข้าตา หรือเข้ากับอารมของเรามาใส่ใจ เห็นแล้วก็มองผ่านเลยไป เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราก็จะไม่ติดบ่วงอารมของใคร ถูกต้องมั้ยคะ? แค่นี้เราก็สามารถทำงานของเราแบบไม่ต้องมานั่งรับผลกระทบจากอารมของใคร ถึงแม้ว่าเค้าจะนั่งอยู่ใกล้ๆกับเราก็ตาม แต่เราต้องพยายามเข้าใจคนอื่นก่อนนะคะ หากว่าการที่จะพยายามเข้าใจคนอื่นนั้นมันยากนัก ก็ตัดความสนใจทิ้งไปเลยก็ได้ แล้วเราจะมีความสุขกับทุกวันที่เราดำเนินชีวิตค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2556

ข้าวโพดบาน ข้าวโพดตูม

       ถ้าพูดถึงป็อปคอร์นไทยใหญ่ หลายคนๆคน อ๋อออ กันถ้วนหน้า ซึ่งตอนนี้กลายเป็นขนมขบเคี้ยวและของฝากสุด HIP กันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากแบรนด์ "คั่วกรอบ" ที่ใครๆหลายคนก็รู้จัก และจากกระแสความน่าสนใจของตัวสินค้าป๊อปคอร์นไทยใหญ่ ทำให้ไอหมอกซึ่งเป็นอีกหนึ่งผู้บริโภคที่ชื่นชอบความแปลกใหม่ และสนับสนุนสินค้า Otop เกรดพรีเมี่ยมที่น่าสนใจแบบนี้ ก็เข้าร่วมกระบวนการชิมกับเค้าเหมือนกัน หากเพื่อนๆได้ลองชิมป็อปคอร์นไทยใหญ่ ก็จะรู้ว่าความเค็มๆมันๆ เป็นอะไรที่ไม่น่าเบื่อต่อไป เนื่องจากทำให้เราเคี้ยวเพลินไปเรื่อยๆ เวลาอยู่ในวงสนทนากับเพื่อน ตามประสาผู้หญิงแหละค่ะ กินไปด้วย เม้าท์ไปด้วย ไม่มีอะไรที่มีความสุขมากกว่านี้อีกแล้ว อิอิ

       ในขณะที่เรากิน เราก็จะเห็นได้ชัดเจนโดยไม่ได้สังเกตว่า ป็อปคอร์นไทยใหญ่มีอยู่ 2 รูปแบบอยู่ในซอง นั่นคือ เมล็ดข้าวโพดที่บาน อย่างที่เรารู้จักกันในนามของ "ป๊อปคอร์น" และแบบเป็นเมล็ดตูมๆ ไม่ได้แตกจนบาน ซึ่งแน่นอนความชอบของแต่ละคนแตกต่างกันไป เพื่อนๆในวงเม้าท์ของไอหมอกหลายๆคนชอบเมล็ดที่มันบานๆ แต่ทำไมไม่รู้ไอหมอกดันชอบเมล็ดตูมๆ รู้สึกกันแล้วเคี้ยวกรุบกรับมันอร่อยดี รู้สึกเหมือนกินเมล็ดถั่วลันเตาอบกรอบ (ฟิวเหมือนกันขนมถุงเดียว ได้ทั้งข้าวโพด และถั่วลันเตา) อันนี้ถือว่าไอหมอกได้กำไรไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 555+

       พอพูดถึงความบานของข้าวโพดแต่ละเม็ด ไอหมอกก็ชักสงสัยว่า ทำไม?? ข้าวโพดเหมือนกัน เก็บเกี่ยวพร้อมกัน หรือแม้กระทั่งมาจากฝักเดียวกัน พอถูกคั่วแล้วทำไมถึงบานไม่เท่ากัน เพื่อนๆคิดเหมือนไอหมอกมั้ยคะ อั้นแน่! เมื่อไอหมอกอยากรู้แบบนี้ จะอยู่นิ่งๆหร๊อะ โนวว ค่ะ เราก็ต้องศึกษา ไอหมอกเข้าไปค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต เจอข้อมูลดังนี้


       "เมล็ดข้าวโพดกลายมาเป็นข้าวโพดคั่วได้อย่างไรนั้นเหตุผลก็คือ ในเมล็ดที่ใช้สำหรับทำข้าวโพดคั่วนั้นจะมีความชื้นระดับหนึ่งอยู่ภายในส่วนที่เป็นแป้งนุ่มที่เป็นส่วนสะสมอาหารของเมล็ด (endosperm) ซึ่งถูกห่อหุ้มด้วยเปลือกแข็งภายนอก และเมื่อได้รับความร้อนในระดับจุดเดือดแล้ว เจ้าความชื้นหรือน้ำที่อยู่ภายในก็จะขยายตัวจนเกิดแรงดันจากภายในทำให้ส่วนที่เป็นเปลือกแข็งระเบิดเสียงดังอยู่ภายในภาชนะ จากนั้น ความชื้นภายในเมล็ดก็จะออกมาและระเหยไปอย่างรวดเร็ว ส่วนแรงระเบิดก็จะทำให้ไส้ในของเมล็ดข้าวโพดกลับออกมาอยู่ด้านนอกแทนและการขยายตัวอย่างรวดเร็วนี้ทำให้ส่วนสะสมอาหารของเมล็ด (endosperm) แปรสภาพเป็นเหมือนกับโฟมนิ่มที่มีอากาศอยู่ภายใน จนเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของป็อปคอร์นนั่นเอง

       ในการทำป็อปคอร์นเราจะเห็นว่ามีบางเมล็ดที่ไม่ยอมแตกตัวไปเป็นป็อปคอร์น ซึ่งภาษาอังกฤษจะเรียกเมล็ดพวกนี้ว่า 'old maids' โดยมีการอธิบายถึงสาเหตุที่เมล็ดไม่แตกตัวเอาไว้ 2 ประเด็นด้วยกัน ประเด็นแรกคือเกิดจากความชื้นในเมล็ดมีไม่เพียงพอ และอีกประเด็นคือ เปลือกของเมล็ดข้าวโพดอาจจะมีรอยรั่วอยู่"

       อืม ข้อมูลเหล่าเป็นประโยชน์มากเลยนะคะเนี่ย ไอหมอกก็คิดว่าการทำป็อปคอร์นจะทำกันง่ายๆ เอามาคั่วๆก็บานออกมาเต็มกระทะซะอีก สงสัยต้องทำความเข้าใจกันใหม่ แหะๆ แต่ก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่า การที่เมล็ดจะแตกตัวหรือที่เราเรียกกันว่า บานเป็นป็อปคอร์นนั้น ต้องใช้เมล็ดข้าวโพดที่มีความชื้นในเมล็ดค่อนข้างสูง ถึงจะได้ป็อปคอร์นที่แตกบานๆอย่างที่เราต้องการ แหมแต่ส่วนนี้บางทีเราก็ควบคุมยากนะคะเนี่ย บังคับยังไงให้เมล็ดข้าวโพดทุกเม็ดมีความชื้นเยอะ ต้องบอกว่า "นี่เธอต้องแตกทุกเม็ดนะ" ถ้าบอกมันได้ก็คงจะดีไม่น้อยนะคะเนี่ย แต่เอาเถอะค่ะ ยังไงไอหมอกก็เป็นกำลังใจให้กับผู้ผลิตต่อไปนะคะ ของอร่อยๆแบบนี้ถ้าได้กินฟรีบ่อยๆ ไอหมอกคิดว่าคงจะดีไม่น้อยเลยนะคะเนี่ย คริคริ

ข้อมูลจาก ทริคดีดี.com

วันจันทร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2556

หลุดพ้นเป็น ชีวิตเป็นสุข


       สวัสดีตอนเช้าๆค่ะ เพื่อนๆชาวไอหมอก วันนี้ไอหมอกเพิ่มความเย็นมาขึ้นเรื่อยๆแล้วน๊าา เพื่อนๆอย่าลืมดูแลสุขภาพกันเยอะๆนะคะ เวลานอนก็อย่าลืมห่มผ้าล่ะ เดี๋ยวจะหาว่าไอหมอกปล่อยอากาศเย็นแล้วไม่บอกนะ อิอิ


       วันนี้มาตามอากาศเย็นสบายๆ จากหลายๆพื้นที่ ไอหมอกรู้สึกสบายใจมากกก อย่างบอกไม่ถูก เหมือนได้ยกปัญหาออกจากอกไปได้แล้วอย่างปลิดทิ้งทีเดียว มานั่งคิดๆดู สิ่งที่ทำให้ไอหมอกรู้สึกสบายใจ และโล่งใจได้ขนาดนี้ ได้มาจากการที่เรารู้จักปล่อยวางจากเรื่องราวต่างๆมากมายที่ผ่านมาให้เราคิดอยู่เสมอ วันนี้ไอหมอกได้เอาหลักการ "การหลุดพ้น" มาเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้ชีวิตไอหมอก รู้สึกดีมีความสุขมากยิ่งขึ้น เนื่องจากบางครั้งเรารู้สึกยึดติดกับสิ่งนั้นๆมากเกินไป ชอบคาดหวังว่า คนนั้นจะเป็นอย่างนั้น เพียงเพราะว่าเราต้องการให้เค้าเป็น คาดหวังว่าเค้าจะปรับเป็นแบบนั้น เพียงเพราะว่าเราเห็นว่าดี แต่เราไม่เคยมองตนเองว่า บางครั้งสิ่งที่เราคาดหวัง นั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้เราเป็นทุกข์อยู่อย่างไม่จบไม่สิ้น เพราะว่าเราเอาคนอื่นมาเป็นบรรทัดฐานความต้องการของเราเอง เมื่อคนอื่นไม่เป็นอย่างใจ เราก็จะรู้สึกเกิดคำถามขึ้นมามากมาย ทำไม ทำไม และทำไม จนเรากลายเป็นอีกคนนึงที่ใครๆก็ไม่รู้จัก และไม่อยากจะรู้จักเพิ่มขึ้นอีกด้วย วันนี้ไอหมอกมองเห็นแล้วว่า สิ่งทีจะทำให้เรามีความสุขมากที่สุดคือ "การหลุดพ้นจากความต้องการ" และ "หลุดพ้นจากความคาดหวัง" ที่มากมายและไม่มีที่สิ้นสุดของคนเรา เพียงเท่านี้เราก็จะอยู่อย่างมีความสุข ไม่มีอะไรต้องให้เป็นกังวลอีกต่อไป เราก็จะเริ่มรู้สึกว่า ตัวของเราโตขึ้นเนื่องจากเราอยู่อย่างเป็นตัวเองมากที่สุด ไม่มีใครต้องมาเป็นบรรทัดฐานของเรา และเราก็ไม่เป็นบรรทัดฐานของใคร ตราบใดที่เราเข้าใจในความจริงของชีวิต เราก็จะเริ่มรู้จักพอ สิ่งเหล่านี้ก็จะทำให้เรารู้สึกว่า ตัวเราทุกคนใหญ่พอๆกัน มีสิทธิเท่าเทียมซึ่งกันและกันเสมอ ไม่ได้รู้นึกด้อยค่า จนเกิดอาการน้อยเนื้อต่ำใจแต่อย่างใด หากบุคคลใดที่เราคบแล้วรู้สึกว่า เราตัวเล็กอย่างด้อยค่าเหลือเกิน ให้เราเดินออกมาจากจุดนั้นเสีย เราก็จะเกิดอาการหลุดพ้น อย่างมีความสุขที่สุด ^^

วันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2556

หงส์ไฟ แพทย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์


       สวัสดีค่ะ เพื่อนๆชาวไอหมอก วันนี้ไอหมอกไปอ่านเจอบทความเกี่ยวกับ "หงส์ไฟ" น่าสนใจไม่น้อยเลยนะคะ ถึงแม้ว่าเราอาจจะไม่เคยเห็นหงส์กับตาตัวเองมาก่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่เราก็สามารถรับรู้ด้วยใจว่า สักวันหนึ่งเราจะสามารถทะยานขึ้นท้องฟ้าอย่างสง่างาม และเป็นที่กล่าวถึงความดีงามถึงแม้ว่าจะไม่รู้จักเราก็ตาม อย่างแน่นอน วันนีไอหมอกขอนำเสนอ "หงส์ไฟ" เพื่อให้เป็นพรจากแพทย์ผู้รักษาทุกท่านและครอบครัว ให้มีสุขภาพแข็งแรงในปีใหม่นี้นะคะ

c-did-you-know-54

       ในความเชื่อและตำนานเรื่องการรักษาโรค บางครั้งก็ไม่ได้มีเพียงแพทย์เท่านั้นที่รักษาได้ สัตว์ในตำนานอย่าง "หงส์ไฟ" ก็เป็นอีกหนึ่งตำนานแพทย์ผู้ยิ่งใหญ่เช่นกัน

       หงส์ เจ้าแห่งปักษา "หงส์" เป็นเจ้าแห่งปักษา และเป็นสัตว์มงคลชนิดหนึ่งของจีนมาแต่โบราณ มีรูปลักษณ์เดิมมาจากนกหลากหลายชนิด อาทิ ไก่ฟ้า ห่านฟ้า นกกระจอก เหยี่ยวนกกระจอก นกนางแอ่น ฯลฯ ในตำนานกล่าวว่าหงส์มีรูปคล้ายไก่ฟ้า มีสีขนสลับลายเป็นประกาย มีนิสัยรักสะอาด ช่างเลือก มีความละเอียดอ่อนประณีตอีกด้วย

       ตำนานหงส์ไฟ "หงส์ไฟ" หรือ "หงส์แดง" เป็นสัตว์วิเศษตามความเชื่อของชาวจีนและเป็นหนึ่งในอสูรปกครองศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 4 ลักษณะของหงส์ไฟถือว่ามีลักษณะเด่นของนก 5 ชนิดรวมกันได้แก่

       1. หัวมาจากไก่ฟ้า
       2. ปากมาจากนกแก้ว
       3. ตัวมาจาก เป็ดแมนดาริน
       4. ขามาจาก นกกระสา
       5. หางมาจาก นกยูง

       และยังมีขนเป็นเปลวไฟอีกด้วย ชาวจีนนั้นยกย่องให้หงส์เป็นสัตว์มงคลตัวแทนของเพศหญิง (ธาตุหยิน) คู่กับมังกรตัวแทนของผู้ชาย (ธาตุหยาง) และในบางตำนานก็บอกว่าเป็นสัตว์วิเศษชนิดเดียวที่สามารถต่อกรกับมังกรได้ และแม้ว่าหงส์จะเป็นสัญลักษณ์ของเพศหญิงแต่หงส์ก็มีทั้งตัวผู้และตัวเมีย อาศัยอยู่ที่เทือกเขาแดงทางด้านใต้ที่สวยงามไม่เคยแตะต้องสิ่งมีชีวิต แต่ดำรงชีพด้วยการกินเมล็ดไผ่เท่านั้น และยังได้รับการยกย่องให่เป็นเจ้าแห่งนกทั้งปวง โดยกล่าวกันว่าเมื่อหงส์ไฟบินผ่านที่ใด เหล่าวิหคทั้งหลายก็จะแสดงการคารวะให้อย่างนอบน้อมอีกด้วย

       หงส์ไฟกับการรักษาโรค หงส์ไฟนี้เป็นตัวแทนของความโชคดีและความสง่างาม เป็นตัวแทนของฤดูร้อน (ธาตุไฟ) และเชื่อกันว่าใครก็ตามที่ได้ดื่มเลือดของหงส์ไฟจะมีชีวิตเป็นอมตะและน้ำตาของหงส์ไฟก็ยังมีสรรพคุณในการรักษาบาดแผลและแก้พิษทุกชนิดด้วยซึ่งก็คล้ายกับนกฟีนิกซ์ตามความเชื่อของชาวตะวันตกที่มีมายาวนานเช่นกัน

       เรื่องของสัตว์ในตำนานล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องเล่าที่ฟังแล้วรู้สึกได้ถึงความยิ่งใหญ่แม้ในปัจจุบันเราไม่สามารถพบเจอหงส์ไฟได้จริงๆ แต่แค่ได้จินตนาการถึงความงดงามและยิ่งใหญ่ของหงส์ไฟแล้ว ก็ภูมิใจมากๆ ที่หงส์นั้นเป็นสัญลักษณ์ตัวแทนของผู้หญิง แสดงว่าเพศหญิงนั้นก็สง่างามและยิ่งใหญ่ไม่แพ้ใคร

ที่มา : เพ็ชรสังข์.com

วันพฤหัสบดีที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2556

หงส์ทองคำ

       มาอีกแล้ว กับเรื่องราวของ "หงส์" ไอหมอกรู้สึกว่ายิ่งศึกษาเรื่องหงส์เท่าไหร่ ก็ยิ่งหลงไหลหงส์ซะมากขึ้นเท่านั้น วันนี้ไอหมอกมีนิทานชาดกมาให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันนิดหนึ่งนะคะ เผื่อว่าเราจะกลับมาเป็นเด็กๆอีกครั้ง เพื่อรับคำสอนจากธรรมะ (แอบอยากกลับไปเป็นเด็ก อิอิ)   :)


       ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วันเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุณีชื่อ ถุลนันทา ผู้ไม่รู้จักประมาณในการบริโภคกระเทียม สร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้าน ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...

       กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพราหมณ์ตระกูลหนึ่ง มีภรรยาและลูกสาว ๓ คน ชื่อ นันทา นันทวดี และสุนันทา พอลูกสาวทั้ง ๓ ได้สามีแล้วทุกคน พราหมณ์ก็เสียชีวิตไปเกิดเป็นหงส์ทองคำระลึกชาติได้

       วันหนึ่งได้เห็นความลำบากของนางพราหมณีและลูกสาวของตนที่ต้องรับจ้างคนอื่นเลี้ยงชีพ จึงเกิดความสงสาร ได้โผบินไปจับที่บ้านนางพราหมณีแล้วเล่าเรื่องราวให้นางพราหมณีและลูกสาวฟัง และได้สลัดขนให้แก่พวกเขาเหล่านั้นคนละหนึ่งขนแล้วก็บินหนีไป หงส์ทองได้มาเป็นระยะๆ มาครั้งใดก็สลัดขนให้ครั้งละหนึ่งขนโดยทำนองนี้ นางพราหมณีและลูกสาวจึงร่ำรวยและมีความสุขไปตามๆ กัน

       ต่อมาวันหนึ่งนางพราหมณีเกิดความโลภอยากได้มากกว่าเดิมจึงปรึกษากับลูกๆ ว่า
      "ถ้าหงส์มาครั้งนี้ พวกเราจะจับถอนขนเสียให้หมด เพื่อจะได้มีทรัพย์สมบัติมาก"

       พวกลูกๆ ไม่เห็นดีด้วย แต่นางพราหมณีไม่สนใจ ครั้งวันหนึ่งพญาหงส์ทองมาอีก นางก็ได้จับถอนขนเสียให้หมด ขนเหล่านั้นกลายเป็นขนนกธรรมดาเท่านั้น เพราะพญาหงส์ทองมิได้ให้ด้วยความสมัครใจ นางพราหมณีได้เลี้ยงหงส์นั้นจนขนงอกขึ้นมาใหม่เต็มตัว หงส์ก็ได้บินหนีไปโดยไม่ได้กลับมาอีกเลย

       พระพุทธองค์ เมื่อนำอดีตนิทานมาสาธกแล้ว ได้ตรัสพระคาถาว่า
       "บุคคลได้สิ่งใดควรยินดีสิ่งนั้น เพราะความโลภเกินประมาณเป็นความชั่วแท้ นางพราหมณีจับเอาพญาหงส์ทองแล้วจึงเสื่อมจากทองคำ"

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "โลภมาก มักลาภหาย"    ชีวิตคนเราถ้าสามารถตัดความโลภออกไปได้ ก็สุขอย่างไม่คาดหมายได้นะคะ ^^


บทความจาก ธรรมะไทย.com

ความเชื่อเกี่ยวกับหงส์

       สวัสดีปีใหม่ค่ะ เพื่อนๆที่น่ารักของไอหมอก ก่อนอื่นก็ต้องขออวยพรก่อนนะคะ ^^ ก้าวเข้าสู่ศักราชใหม่ 2556 แล้ว กับปีมะเส็ง ขอให้เป็นปีที่มีแต่การเกิดขึ้นของสิ่งดีดี ขอให้เพื่อนๆมีความสุขความเจริญ คิดสิ่งใดก็ขอให้สมปรารถนานะคะ เมื่อก้าวเข้าสู่ปีใหม่ ไอหมอกขอเริ่มต้นกับด้วยสัตว์ชั้นสูงอย่าง "หงส์" เพื่อให้อวยพรทุกท่านจากใจไอหมอกนะคะ

หงส์ คือ "การตั้งต้นใหม่ที่ดี"

       ด้วยความเชื่อที่มีมา ทุกความเชื่อ ล้วนบ่งบอกถึงความศักดิ์สิทธิ์ เป็นสิริมงคล ด้วยลักษณะ จินตนาการ ตามหนังสือ ตามคำบอกเล่า ล้วนแต่บรรยายลักษณะเด่นที่ว่า หงส์ เป็น นกเทพตระกูลชั้นสูง เป็นจ้าวแห่งวิหค มีความสง่างาม รูปร่างสวยงาม เสียงร้องไพเราะ เป็นพาหนะของพระพรหม และเป็นสัตว์ในป่าหิมพานต์


ความเชื่อจากทั่วโลก

       ๏ หงส์ เป็น นกเทพตระกูลชั้นสูง มีความสง่างาม รูปร่างสวยงาม เสียงร้องไพเราะ เป็นพาหนะของพระพรหม และเป็นสัตว์ในป่าหิมพานต์

       ๏ หงส์ ถือเป็นสัตว์เทพ เชื่อกันว่าเวลาขอพร ถ้ามีหงส์อยู่ หงส์จะช่วยสื่อสารนำคำขอพรไปแจ้งกับพระพุทธเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทำให้คำขอเป็นจริง

       ๏ หงส์ ถือเป็นสัตว์สิริมงคลและศักดิ์สิทธิ์ เป็นสัตว์ที่คนจีนมีความปีติชื่นชอบมากที่สุดชนิดหนึ่ง มีรูปร่างสวยงาม สะโอดสะอง มีความอ่อนหวาน มีบุคลิกสีสันคล้ายผู้หญิง มีความสุภาพเป็นผู้ดี ชาวจีนเรียกว่า "เฟิ่งหวง" หงส์เป็นดั่งเทพเจ้าสามารถหยั่งรู้ความสุข ความทุกข์ ความวุ่นวายในโลกมนุษย์ได้ หงส์จึงมักจะมาปรากฏตัวต่อเมื่อบ้านเมืองสงบสุข แผ่นดินมีคนดีมาเกิด

       ๏ หงส์ มีอายุยืนยาวประมาณ 500 ปี จากนั้นก็จะบินตรงไปยังดวงอาทิตย์เพื่อให้ความร้อนแผดเผาร่างกายเป็นเถ้าถ่าย เป็นการบูชายันต์ตนเอง หงส์หนุ่มสาวเมื่อเกิดมาได้ 3 วัน มันก็จะบินจากไปอาศัยอยู่ที่อื่นเป็นอิสระโดดเดี่ยว จนกว่าจะมีอายุได้ 500 ปี จึงสิ้นอายุขัย ด้วยเหตุนี้นกหงส์จึงถือว่าเป็นผลิตผลจากดวงอาทิตย์และไฟ

       ๏ หงส์ ทางศาสตร์ฮวงจุ้ยจะใช้หงส์ ในความหมายของการตั้งต้นใหม่ที่ดี

       ๏ หงส์ เป็นสัตว์ของราชวงศ์ที่แสดงถึงความซื่อสัตย์ ความมีคุณธรรม ความยิ่งใหญ่ ที่ทรงพลัง ความมีน้ำใจ ความร่ำรวย แสดงพลังของหยินและหยาง ความไม่เบียดเบียนใคร เป็นต้น

       ๏ หงส์ เป็นสัญลักษณ์ของลัทธิเต๋า คือสัญลักษณ์หงส์ 9 ตัว สำหรับทำลายล้างความสกปรก

       ๏ หงส์ (อียิปต์โบราณ) เป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นอมตะ มีชีวิตยั่งยืนนิรันดร์ เพราะมันสามารถฟื้นคืนชีพได้ เมื่อร่างกายสิ้นอายุขัย (500 ปีหรือ 1461 ปี) ตัวจะลุกเป็นไฟ จากนั้นหงส์ก็จะฟื้นจากกองขี้เถ้ามาเป็นลูกหงส์ใหม่

       ๏ หงส์ ในตำนานจีนเรียกกันว่า โฮโฮ แปลว่า ผู้นำโชคดีมาสู่ ความเชื่อนี้กระจายข้ามทะเลไปยังญี่ปุ่น และทำให้หงส์ได้ชื่อใหม่ว่า โฮโอ หรือ โฮ นกชนิดนี้จะมาที่โลกทุก ๆ พันปี ขนของมันนั้นมีทั้งสีแดง เหลือง น้ำเงิน ดำ และขาว สีแต่ละสีมีความหมายที่สำคัญ โดยความหมายโดยรวมก็คือ ชีวิต ความสวยงาม ความซื่อสัตย์ และความบริสุทธิ์ นอกจากนี้หงส์จีนยังเป็นคัวแทนของชีวิตที่ยืนยาวอีกด้วย เสียงร้องของมันเป็นตัวแทนของบทเพลงแห่งสวรรค์

ข้อมูลจาก ไฟหงส์.com
ภาพจาก teenee.com