วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2556

เราเป็น "หมาขี้เรื้อน" อยู่หรือไม่?

       จากการที่อ่านนิทานเรื่องนี้ ทำให้ไอหมอกรู้สึกว่า นิทานเพียงเรื่องเดียว เราสามารถเปลี่ยนความคิดได้มากมายขนาดนี้เลยหรอ วันนี้จากการที่เราเป็นคนที่มีมุมมองด้านที่ทำให้ใจไม่สงบ ไม่นิ่ง เราคงจะไม่มีความสุข เป็นเหมือนหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่ง ที่อยู่ที่ไหนก็ต้องขวนขวายไปเรื่อยๆ เพราะโทษว่า สถานที่นั่นไม่ดี ทั้งๆที่เป็นเพราะหัวใจเราไม่คิดที่จะ "พอ" เอง วันนี้ไอหมอกเลยนำบทความนี้มาแบ่งปันให้กับเพื่อนๆ ได้อ่านกันค่ะ คิดว่าอาจจะเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนๆได้มากมายเลยทีเดียว ^^

       ลูกชายนักธุรกิจใหญ่ มีชื่อเสียงระดับประเทศคนหนึ่ง เพิ่งสำเร็จการศึกษากลับมาจากเมืองนอก ยังไม่ทันทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็ถูกผู้เป็นแม่ขอร้องให้บวชเรียนเสียก่อน เพื่อเห็นแก่แม่ …..  บัณฑิตใหม่หมาดๆจากเมืองนอก จึงบวชอย่างเสียไม่ได้
     
       เมื่อบวชที่วัดใหญ่ในกรุงเทพฯแห่งหนึ่งเสร็จแล้ว ผู้เป็นแม่จึงพาไปฝากให้จำพรรษาอยู่กับพระวิปัสสนาจารย์รูปหนึ่งที่วัดป่าแถวภาคอีสาน พระหนุ่มการศึกษาสูงมาจากตระกูลผู้ดีมีแต่ความสุขสบาย เมื่อมาอยู่วัดป่ากว่าจะปรับตัวได้จึงใช้เวลานานเป็นแรมเดือน  แต่ก็นั่นแหละกว่าจะนิ่งก็ทำเอาพระร่วมวัดหลายรูปพลอยอิดหนาระอาใจไปตามๆกัน

       ปัญหาที่ทำให้พระทั้งวัดเหนื่อยหน่ายจนนึกระอา ก็เพราะพระใหม่มีนิสัยชอบจับผิด  และชอบอวดรู้ ยกหูชูหางตัวเองอยู่เป็นประจำ วันแรกที่มาอยู่วัดป่าก็นึกเหยียดพระเจ้าถิ่นทั้งหลายว่า ไม่ได้รับการศึกษาสูงเหมือนอย่างตน ออกบิณฑบาตได้อาหารท้องถิ่นมาก็ทำท่าว่าจะฉันไม่ลง เห็นที่วัดใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าดแทนไฟฟ้าก็วิพากษ์วิจารณ์เสียเป็นการใหญ่หาว่าล้าสมัยไม่รู้จักใช้เทคโนโลยี ตอนหัวค่ำมีการทำวัตรสวดมนต์เย็นก็บ่นว่าท่านรองเจ้าอาวาสทำวัตรนานเหลือเกิน กว่าจะสิ้นสุดยุติได้ก็นั่งจนขาเป็นเหน็บชา ครั้นพอถึงเวรตัวเองล้างห้องน้ำเข้าบ้าง ก็ทำท่าจะล้างอย่างขอไปทีล้างไปบ่นไป ประเภทตูจบปริญญาโทมาจากเมืองนอกต้องมาเข้าเวรล้างห้องน้ำร่วมกับใครก็ไม่รู้ โอ้ชีวิต! ความสำรวยหยิบโหย่งทำให้พระใหม่ไม่พอใจสิ่งนั้นสิ่งนี้ถือดีว่าตัวเองมีชาติตระกูลสูง มีการศึกษาสูงกว่าใครในวัดนั้น ผิวพรรณก็ดูสะอาดสะอ้านชวนเจริญศรัทธากว่าพระรูปไหนทั้งหมด มองตัวเองเปรียบกับพระรูปอื่นแล้วช่างรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าทุกประตู นึกแล้วก็ยิ้มกระหยิ่มอยู่ในใจกลับเข้ากุฏิเมื่อไหร่ก็เอาปากกามาขีดเครื่องหมายกากบาทบนปฏิทิน นับถอยหลังรอวันสึกด้วยใจจดจ่อ

       อยู่มาได้พักใหญ่พระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็สังเกตเห็นว่า ท่านเจ้าอาวาสวัดป่าแห่งนี้ไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยจา ซ้ำนานๆครั้งจะออกมาให้โอวาทกับลูกศิษย์เสียทีหนึ่ง วันๆไม่เห็นท่านทำอะไร เอาแต่กวาดใบไม้ เก็บขยะ ซักผ้าเอง (เณรน้อยก็มีไม่รู้จักใช้) สอนก็ไม่สอน การบริหารวัดก็มอบให้ท่านรองเจ้าอาวาสเป็นคนจัดการไปเสียทุกอย่าง เห็นแล้วเลยนึกร้อนวิชา เสนอให้ปรับโน่นลดนี่สารพัดที่ตัวเองเห็นว่าไม่เข้าท่าล้าสมัยรวมทั้งให้เสนอให้วัดใช้ไฟฟ้าแทนตะเกียงด้วยอีกข้อหนึ่ง เพราะตนเห็นว่ายุคสมัยก้าวไกลมามากแล้ว ไม่ควรจะทำตนเป็นคนหลังเขาให้คนอื่นเขาดูถูก อีกหนึ่งในข้อวิจารณ์จุดด้อยของวัดทั้งหลายเหล่านั้น พระใหม่เสนอให้หลวงพ่อเจ้าอาวาสมีปฏิสัมพันธ์กับพระลูกวัดให้มากขึ้นกว่านี้ สอนให้มากขึ้นเทศน์ให้มากขึ้น และแนะนำว่าคนระดับผู้บริหารไม่ควรจะทำงานอย่างการซักจีวรเองเป็นต้น ควรจะกระจายอำนาจมอบงานให้คนอื่นทำดีกว่า

       เย็นวันนั้นเป็นวันพระสิบห้าค่ำ หลวงพ่อเจ้าอาวาสมานั่งทำวัตรที่โบสถ์ธรรมชาติกลางลานทรายด้วย ท่านไม่ลืมที่จะหยิบข้อเสนอแนะจากพระใหม่มาอ่านให้พระหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายฟัง แต่ท่านไม่บอกว่าพระรูปไหนเป็นคนเขียน อ่านจบแล้วหลวงพ่อก็ยิ้มอย่างมีเมตตา พลางหยิบไมโครโฟนขึ้นมาแล้วชี้ให้ภิกษุหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายดูหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่งที่นอนอยู่ใต้ม้าหินอ่อนตัวหนึ่งจากใต้ต้นอโศกที่อยู่ ใกล้ๆ

       เธอทั้งหลายเห็นหมาขี้เรือนตัวนั้นหรือไม่ เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันเป็นขี้เรื้อนคันไปทั้งตัว ฉันเห็นมันวิ่งวุ่นไปมาทั้งวัน เดี๋ยวก็วิ่งไปนอนตรงนั้น เดี๋ยวก็ย้ายมานอนตรงนี้อยู่ที่ไหนก็อยู่ไม่ได้นานเพราะมันคัน แต่พวกเธอรู้ไหมเจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันไปนอนที่ไหนมันก็นึกด่าสถานที่นั้นอยู่ในใจ หาว่าแต่ละที่ไม่ได้ดั่งใจตัวเองสักอย่าง นอนที่ไหนก็ไม่หายคัน สถานที่เหล่านั้นช่างสกปรกสิ้นดี คิดอย่างนี้แล้วมันจึงวิ่งหาที่ที่ตัวเองนอนแล้วจะไม่คัน แต่หาเท่าไหร่มันก็หาไม่พบสักทีเลยต้องวิ่งไปทางนี้ทางโน้นอยู่ทั้งวัน เจ้าหมาโง่ตัวนั้น มันหารู้สักนิดไม่ว่าเจ้าสาเหตุแห่งอาการคันนั้น หาใช่เกิดจากสถานที่เหล่านั้นแต่อย่างใดไม่ แต่สาเหตุแห่งอาการคันอยู่ที่โรคของตัวมันเองนั่นต่างหากพูดจบแล้วหลวงพ่อก็วางไมโครโฟนลงเป็นสัญญาณให้รู้ว่า ได้เวลาภาวนาหลังการทำวัตรสวดมนต์เย็นแล้ว

 

       ขณะที่ทุกรูปนั่งหลับตาภาวนาอย่างสงบนั้น ในใจของพระใหม่กลับร้อนเร่าผิดปกติ นอกสงบแต่ในวุ่นวาย นึกอย่างไรก็มองเห็นตัวเองไม่ต่างไปจากหมาขี้เรื้อนที่หลวงพ่อชี้ให้ดู ยิ่งนั่งสมาธินานๆยิ่งคันคะเยอในหัวใจทั้งอายทั้งสมเพชตัวเอง นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาพระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากคนพูดมากกลายเป็นคนพูดน้อย จากคนที่หยิ่งยโสกลายเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน จากคนที่ชอบจับผิดคนอื่นกลายเป็นคนที่หันมาจับผิดตัวเอง เมื่อออกพรรษาแล้วโยมแม่มาขอให้ลาสิกขาเพื่อกลับไปสืบต่อธุรกิจจากครอบครัวท่านก็ยังไม่ยอมสึก

       “อาตมาเป็นหมาขี้เรื้อน ขออยู่รักษาโรคจนกว่าจะหายคันกับครูบาอาจารย์ที่นี่อีกสักหนึ่งพรรษา” โยมแม่ได้ฟังแล้วก็ได้แต่ยกมืออนุโมทนาสาธุการกราบลาพระลูกชาย  แล้วก็เดินออกจากวัดไปขึ้นรถพลางนึกถามตัวเองอยู่ในใจว่าคำว่าหมาขี้เรื้อน ของพระลูกชายหมายความว่าอย่างไรกันแน่หนอ

       ถ้าเรายังเป็นโรคอยู่ในใจ ไม่พอใจอะไรซักอย่าง เงินเดือนน้อย หน้าที่การงานไม่พัฒนา ตำแหน่งไม่ไปไหน ไม่ว่าเราย้ายงาน ไปที่ไหน เราก็ไม่พอใจ สถานที่เหล่านั้นไม่ดี คนไม่ได้เรื่อง ทั้ง ๆ ที่เราไม่เคยได้ดูตัวเองเลยว่า เราพัฒนาการทำงานของเรามั้ย ขวนขวายหาความรู้หรือเปล่า ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับหมาขี้เรื้อนตัวนั้นเลย

บทความจาก ธนาคารซอฟท์แวร์ ร่วมแรงและแบ่งปัน

วันพฤหัสบดีที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2556

กระต่ายกับเต่า ฉบับปริญญาโท

       กาลครั้งหนึ่ง เจ้าเต่ากับกระต่าย เถียงกันว่าใครเร็วกว่ากัน ทั้งคู่จึงตกลงที่จะ วิ่งแข่ง ก็มีการกำหนดเส้นทางวิ่งแล้วก็เริ่ม การแข่งขัน เจ้ากระต่ายนำโด่งมาไกลก็เลย ชะล่าใจ คิดว่าพักผ่อนใต้ต้นไม้ซักแป๊บนึงก่อนค่อยแข่งต่อก็คงดี ไปๆมาๆก็ง่วงสิ ตื่นมา อีกทีเจ้าเต่าก็คว้าแชมป์ไปแล้ว


       นิทานตอนนี้สอนให้รู้ว่า... ช้าๆแต่มั่นคงสามารถเอาชนะได้(เหมือนกัน) นี่เป็นเวอร์ชั่นเดะๆที่เราคุ้นหูกัน ไม่นานมานี้มีคนเล่าเวอร์ชั่นใหม่ที่น่าสนใจให้ฟัง ต่อเลยนะ....

       เจ้ากระต่ายสันหลังยาวก็รมณ์บ่จอยตามระเบียบที่แพ้ มันจึงค้นหาจุดอ่อนของตนเอง มันก็พบว่าความมั่นใจในตัวเองเกินไปบวกกับความขี้เกียจ ของมันนั่นแหละที่ทำให้แพ้ ถ้ามันไม่เผลอหลับซะอย่าง เต่าหน้าไหนจะเอาชนะมันได้ มันจึงขอแก้ตัวใหม่อีกครั้ง เฮ้ย..เมื่อกี๊ฟลุ้คอ๊ะป่าว แน่จริง..ใหม่เด่ะ


       เจ้าเต่าก็ตกลง "ย่อมได้ไอ้น้อง".... แน่นอนว่าครั้งนี้ เจ้าเต่าโดนทิ้งไม่เห็นฝุ่นกระต่ายชนะขาดลอย

       เราได้ข้อคิดอะไรล่ะ?... ต่อให้ช้าแต่ชัวร์ ยังไงก็แพ้เร็วและสม่ำเสมอ ถ้าเราเปรียบเทียบคนสองคนในองค์กรของเรา คนนึงช้าจริง ทำอะไรมีระบบระเบียบแบบแผน แต่ทำอะไรๆไม่เคยพลาด ไว้ใจได้แน่นอนในผลงานของเขา เทียบกับอีกคนนึงที่เร็วและก็พอไว้ใจได้ในสิ่งที่เขาทำ คนที่เร็วกว่ามักจะประสบความสำเร็จมีความเจริญก้าวหน้าในองค์กรนั้นๆมากกว่า (ซิกแซกไม่เป็น อะไรลัดได้ เร็วได้ก็ไม่กล้าเสี่ยงไม่กล้าทำ ผลงานก็เลยน้อยมั้ง) ไอ้ช้าแต่ชัวร์น่ะมันก็ดีอยู่หรอก แต่ให้เร็วและพอใช้ได้นี่ดีกว่า....

       เรื่องยังไม่จบแค่นี้... คราวนี้ถึงทีเจ้าเต่ามาหาจุดบกพร่องของตัวเองบ้าง และมันก็พบว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะชนะกระต่ายในเส้นทางการวิ่งแบบที่เป็นอยู่นี้ มันก็คิดอยู่ซักครู่หนึ่งก็ไปท้ากระต่ายแข่งใหม่ แต่ขอเปลี่ยนเส้นทางวิ่งซะหน่อย เจ้ากระต่ายก็ว่าย่อมได้อยู่แล้วเพ่ พอการแข่งเริ่มปุ๊บ เจ้ากระต่ายก็ใส่เกียร์ห้อออกไปเต็มสปีดเลย จนกระทั่งไปถึงระหว่างทาง “เฮ้ย!!!..เวรกรรม ต้องข้ามแม่น้ำ ทำไงล่ะตู...” เส้นชัยอยู่ไม่ห่างจากฝั่งตรงข้ามเท่าไหร่เลย เจ้ากระต่ายมัวแต่งงว่าจะทำไงดี จนเจ้าเต่าคืบคลานมาทันแล้วก็จ๋อมลงน้ำว่ายข้ามฝั่งไปเข้าเส้นชัย


       นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า.... พิจารณาจุดแข็งของตนให้ดีแล้วพยายามเปลี่ยนสนามการแข่งขันให้ตนเองได้เปรียบมากที่สุด ย๊างงง ยังไม่พอ มีต่อ.... ด้วยน้ำใจนักกีฬา ครั้งนี้เจ้าเต่ากับกระต่ายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันแล้ว ต่างคนต่างมาระดมสมองคิดด้วยกัน หากทั้งสองร่วมมือกัน การแข่งแบบเมื่อครั้งล่าสุดจะช่วยให้ทำเวลาได้ดีขึ้น ดังนั้น พวกมันจึงคิดจะแข่งอีกครั้ง แต่แข่งคราวนี้เป็นแบบทีมเวิร์ค เริ่มต้นเจ้ากระต่ายก็แบกเต่าวิ่งไปด้วยความเร็วสูง จนถึงริมแม่น้ำแล้วเจ้าเต่าก็ให้กระต่ายขี่หลังว่ายข้ามไป พอข้ามฝั่งเจ้ากระต่ายก็แบกเจ้าเต่าวิ่งต่อจนเข้าเส้นชัยด้วยกัน

ผลการแข่งครั้งนี้ สร้างความพึงพอใจให้กับทั้งสองฝ่าย(ตัว)มากกว่าการแข่งครั้งก่อนๆหน้านี้ 

       นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า....การมีจุดแข็งและความสามารถโดดเด่นเฉพาะตัวเป็นสิ่งที่ดี แต่หากไม่รู้จักทำงานร่วมกับผู้อื่น ยังไงก็ไปไม่รอด เพราะมันจะมีบางสถานการณ์ที่เราเจ๋งคนอื่นเจ๊ง ในขณะที่บางสถานการณ์เราเจ๊งแต่คนอื่นเจ๋ง ทีมเวิร์คสำคัญตรงที่การกำหนดผู้นำให้เหมาะกับสถานการณ์ให้ผู้ที่มีความถนัดกับสถานการณ์นั้นๆเป็นผู้นำกลุ่มในแต่ละช่วงสถานการณ์ที่เหมาะกับความสามารถของเขา นอกจากนี้เรายังได้บทเรียนอีกอย่างหนึ่งด้วยว่า ไม่ว่าเต่าหรือกระต่าย ไม่มีใครที่คิดเลิกล้มหรือท้อแท้หลังจากความความล้มเหลวได้เกิดขึ้น กระต่ายแก้ไขจุดบกพร่องของตนเองโดยการทำงานที่หนักขึ้น และเพิ่มความมุมานะในงานของตนเองหลังจากพบความล้มเหลว ส่วนเต่าได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ของตนใหม่ เพราะตัวมันเองได้ทำงานหนักที่สุดเท่าที่มันจะสามารถทำได้แล้วในชีวิต

       เมื่อเราพบกับปัญหาหรือความล้มเหลว บางครั้งเราก็ควรจะทำงานให้หนักขึ้นและมีความเอาใจใส่ในงานมากกว่าเดิม บางครั้งก็ควรเปลี่ยนแผนการทำงานและทดลองในสิ่งใหม่ๆที่แตกต่างออกไปและในบางครั้งก็จำเป็นต้องทำทั้งสองอย่างเลย นอกจากนั้น กระต่ายกับเต่าก็ได้บทเรียนที่สำคัญอีกอย่างคือ เมื่อเราหยุดการแข่งขันกับตัวบุคคล แล้วหันมาแข่งขันกับสถานการณ์แทน พวกมันจะทำงานได้ดีขึ้นมาก

ที่มา ธนาคารซอฟท์แวร์ ร่วมแรงและแบ่งปัน 

บริหารงานแบบ โฮ เรน โซ

       ช่วงนี้ดูไอหมอกจะสนใจหลักการบริหารงานเป็นพิเศษ ไม่รู้ว่าเนื่องมาจากสาเหตุใด แต่อาจเป็นเพราะรักที่จะเรียนรู้เรื่องการบริหารงานก็เป็นไปได้นะคะ วันนี้มีแนวทางการบริหารที่น่าสนใจมาฝากเพื่อนๆกัน กับหลักการบริหารงานสไตล์คนญี่ปุ่น ผู้ซึ่งทำงานออกมาอย่างมีประสิทธิภาพสูงเป็นอันดับต้นๆของโลก!! กับหลักการบริหารแบบ โฮ เรน โซ (Hou Ren Sou) เอ๊ะ .. แล้วเจ้าโฮ เรน โซ ที่ว่านี่มันคืออะไร อยากรู้จริงค่ะ

 

       คำว่า โฮ เรน โซ (Hou Ren Sou) เป็นคำเรียกสั้นๆ ที่เราใช้เรียกกันในเชิงของการบริหาร ซึ่งคำว่า Hou มาจากคำว่า Houkoku หรือ Report , คำว่า Ren มาจากคำว่า Renraku หรือ Frequent Communication และคำสุดท้ายคำว่า Sou มาจาก Soudan หรือ Discussion เรามาขยายความหมายของทั้ง 3 คำกันค่ะ

       Hou = Houkoku หรือ Report หมายถึง การรายงาน ซึ่งการรายงานผลการทำงานไม่ว่าจะในสถานะของเนื้องานแบบไหน เราจำเป็นต้องมีการรายงานผลการดำเนินงานให้หัวหน้างานรับทราบทุกครั้ง ถึงความสำเร็จของการทำงาน หรือแม้กระทั่งปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งต้องรายงานผลแบบตรงไปตรงมา เพื่อประโยชน์ในการทำงานอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที

       Ren = Renraku หรือ Frequent Communication  หมายถึง การประสานงาน เป็นส่วนสำคัญของการทำงานเป็นอย่างมาก เนื่องจากความร่วมมือซึ่งกันและกันในแต่ละส่วนงานเป็นผลให้เกิดความราบรื่นของทุกส่วนงาน รวมไปถึงความสัมพันธ์ที่ดีของแต่ละฝ่ายอีกด้วย

       Sou= Soudan หรือ Discussion หรือ การปรึกษา แนวคิด การวางแผน การตัดสินใจทุกอย่างล้วนรอบคอบและประสบผลสำเร็จหากร่วมกันคิด ช่วยกันทำ นั่นคือที่มาของคำว่า "หลายหัวดีกว่าหัวเดียว" ให้ไอเดียของแต่ละคน สามารถเป็นตัวจุดประเด็นต่อยอดการทำงานได้อย่างไม่มีข้อจำกัด

       ซึ่งหลักการทำงานทั้ง 3 อย่างนี้เป็นหลักการทำงานที่ชาวญี่ปุ่นยึดถือมาโดยตลอด ซึ่งเป็นผลให้การทำงานของชาวญี่ปุ่นได้ชื่อว่าเป็นมืออาชีพในการทำงาน ซึ่งคนไทยเรายังขาดส่วนนี้ไปมาก ไอหมอกเชื่อว่า การทำงานทุกอย่างจะสำเร็จไปได้อย่างราบรื่น ต้องมาจากความร่วมมือ ร่วมใจ ร่วมสมองกันอย่างไม่หยุดยั้ง หากคนไทยเราช่วยเหลือเกื้อกูลกันด้านความคิด คนไทยเราต้องสามารถแซงหน้าประเทศอื่นๆได้อย่างรวดเร็วก็เป็นได้

ที่มา .. ขงจื้อ และ Softbankthai

หัวหน้าที่ลูกน้องยอมรับ

       สวัสดีเพื่อนๆ อีกครั้งเช่นเคย วันนี้ไอหมอกขอต้อนรับเพื่อนๆในเดือนมีนาคม กันด้วยบทความดีดีที่ได้ไปอ่านมาจากธนาคารซอฟท์แวร์ ร่วมแรงและแบ่งปัน มาเพื่อแชร์ให้กับเพื่อนๆได้อ่าน และรู้ถึงแนวคิดของผู้เขียนกันว่า "อะไรที่ทำให้ลูกน้อง ยอมรับในตัวเรา?" คำถามนี้หลายๆคนที่อยู่ในตำแหน่งหัวหน้างาน ผู้บริหาร หรือไม่เว้นเจ้าของกิจการ ต่างก็คิดหาทางออกให้เป็นหัวหน้าที่ลูกน้องรัก บางทีเราก็ดูว่ามันช่างยากเย็นเหลือเกิน แต่ใครจะรู้ว่าหลายๆคนได้ประสบความสำหรับในการเป็นหัวหน้าที่ลูกน้องรักไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราลองมาดูกันว่า วิธีไหนที่หัวหน้าอย่างเราๆ จะได้ใจจากลูกน้องกันบ้าง

       เรามาเริ่มกันที่ "บันได 4 ขั้น เพื่อก้าวเป็นหัวหน้างานที่ลูกน้องยอมรับ"   เป็นประเด็นแรกกันก่อนเลยนะคะ

1. เป็นหัวหน้า ต้องขยันทุ่มเท เรียนรู้งาน ใผ่รู้อยู่เสมอ
       เพื่อนๆที่เป็นหัวหน้างานคงไม่อยากตกอยู่ในสถานการณ์ที่ว่า ลูกน้องมาปรึกษาและหาช่องทางเพื่อแก้ไขปัญหา แต่หัวหน้าอย่างเราๆ ไม่สามารถให้คำปรึกษาได้ เอาละสิคะ ประเด็นนี้ขึ้นมาปุ๊กไอหมอกรู้สึกถึง ความรู้สึกแย่ข้างใจจิตใจของเราขึ้นมาได้ทันที ทำไมเราเป็นหัวหน้าที่ไม่ได้เรื่องแบบนี้ แค่นี้ก็ให้คำปรึกษาและชี้แนะลูกน้องไม่ได้ เมื่อเกิดความรู้สึกแบบนี้ขึ้นมาแล้ว แน่นอนหัวหน้าอย่างเราๆ ไม่อยู่นิ่งเฉยเป็นแน่ การเรียนรู้เท่านั้นที่จะช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น การเป็นหัวหน้าต้องทุ่มเท ขยันศึกษาหาความรู้ เพื่อแก้ปัญหาและตอบโจทย์ให้กับลูกน้องได้ หากเราคิดในทางกลับกัน เราก็คงไม่อยากได้หัวหน้าที่ไม่สามารถช่วยเราคิดอะไรได้เลย ถูกต้องมั้ยคะ

2. รู้จักถ่ายทอดความรู้ สอนงานเป็น ให้คนอื่นทำงานได้
       ประเด็นนี้ไอหมอกคิดว่าเป็นข้อสำคัญของการเป็นหัวหน้าเลยค่ะ ในการที่เรามีความรู้ความสามารถแต่เก็บอมพะนำไว้คนเดียว หวงความรู้ไม่สอนใครราวกับเป็นงูจงอางหวงไข่นั่นเป็นการแสดงให้เห็นว่า คุณยังไม่มีสัญชาตญาณความเป็นหัวหน้าที่ดีได้นั่นเอง การเป็นหัวหน้าคนต้องรู้จักสอน สอนให้เป็น สอนให้เก่ง เพื่อให้ลูกน้องของเรา เก่งขึ้นไปเรื่อยๆและเก่งมากกว่าเราได้ยิ่งดี เมื่อเราสอนแต่ไม่ไว้วางใจให้ลูกน้องได้ทำงานจริงๆเองบ้าง ทุกอย่างที่เราสอนมาไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ เสียเวลาเปล่าๆ การให้ลูกน้องทำหน้าที่สำคัญแทนเรา เป็นการแสดงให้เห็นว่า เราไว้วางใจเค้ามากน้อยแค่ไหน นั่นแหละค่ะลูกน้องของเราจะกลายเป็นคนที่รักในการทำงานอย่างเต็มที่ และสามารถทำงานแทนเราได้อย่างมีประสิทธิภาพแน่นอน

3. รวบรวมข้อมูล คิดวิเคราะห์ ตัดสินใจแก้ไขปัญหา
       การเป็นหัวหน้างานที่ดีต้องสามารถวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้น และสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็วบนพื้นฐานของความถูกต้อง ซึ่งการที่เราจะแก้ไขปัญหาสักอย่างหนึ่งนั้น สิ่งสำคัญที่เราพึงจะต้องมีนั่นคือ ข้อมูลของสาเหตุตัวปัญหานั้นๆ หากหัวหน้างานไม่สามารถวิเคราะห์ได้ว่า ปัญหานั้นเกิดขึ้นเนื่องจากสาเหตุใด และแก้ไขปัญหาได้ด้วยวิธีไหน แสดงว่าหัวหน้าคนนั้นๆ ไม่ได้มีข้อมูลที่สำคัญอยู่ภายในแนวคิดเอาซะเลย กังนั้นหัวหน้าต้องเปิดใจกล้างเพือ่รับเอาความรู้ ข้อมูลสำคัญต่างๆ เพื่อเป็นประโยชน์ในการบริหารงานได้อย่างคล่องแคล่ว และแก้ปัญหาได้ตรงจุดอย่างน่าภาคภูมิใจในสายตาของลูกค้า

4. วางแผนบริหารงาน บริหารคน อย่างเป็นธรรม และเป็นตัวอย่างที่ดี
       ข้อนี้มีคำอธบายอยู่ในประโยคของมันอย่างดีเยี่ยมอยู่แล้ว หัวหน้าทุกคนต้องมีความคิดเป็นผู้บริหาร บริหารงานและบริหารคนให้สามารถเดินต่อไปด้วยกันอย่างมีคุณภาพ ใช้หลักธรรมเข้ามาเป็นส่วนสำคัญในการปริหาร ไม่ใช้ความลำเอียงในการตัดสินปัญหา และที่สำคัญเราต้องการลูกน้องที่น่ารักแบบไหน ให้เราเป็นหัวหน้าที่น่ารักแบบนั้น เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูกน้องสืบต่อไป

       เรามักพบว่า หัวหน้างานหรือผู้จัดการที่ไม่ประสบความสำเร็จ มักเกิดจากคุณลักษณะส่วนตัวและพฤติกรรมการกระทำที่ไม่เหมาะสมซึ่งเป็นเรื่องส่วนตัวนำมาเกี่ยวข้องกับงาน ทำให้ลูกน้องประเมินว่าไม่เหมาะสม ทำให้ขาดความเชื่อถือไว้วางใจ ไม่ให้ความร่วมมือ ดังนั้น พฤติกรรมการกระทำต่างๆ ที่เป็นตัวอย่างไม่ดีอาจเป็นสาเหตุให้ตำแหน่งหัวหน้างานที่มีคุณภาพนั้นหลุดมือของคุณไปอย่างง่ายดาย เพียงเพราะหัวหน้าไม่เป็นที่ยอมรับจากลูกน้อง และเมื่อหัวหน้าไม่มีลูกน้อง แล้วจะเป็นหัวหน้าที่สมบูรณ์แบบได้อย่างไร?