ดร.พิกุลทอง ขอเพิ่มทรัพย์ นักวิจัยจากศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ที่ค้นพบว่า เทคโนโลยีปั่นเส้นใยไฟฟ้าสถิตสามารถผลิตเส้นใยที่มีความบางต่ำกว่า 1 มิลลิเมตร ส่งผลให้แผ่นแปะรักษาสิว ซึ่งมีหลักการทำงานคล้ายกับแผ่นแปะนิโคตินสำหรับเลิกบุหรี่ โดยส่งผ่านสารสำคัญลงลึกสู่ชั้นใต้ผิวหนังนั้น มีความเรียบเนียนติดกับผิวหนังได้สนิท ต่างจากผลิตภัณฑ์รักษาสิวทั่วไป
"คุณสมบัติเหล่านี้จะเพิ่มโอกาสทางการตลาด เนื่องจากผลิตภัณฑ์แผ่นแปะรักษาสิวที่มีอยู่ในท้องตลาด ยังไม่สามารถตอบโจทย์ได้อย่างครบถ้วน" ดร.พิกุลทองกล่าว
จากผลิตภัณฑ์แผ่นแปะต้นแบบ ทีมวิจัยได้พัฒนาแผ่นแปะ 2 เฉดสี ให้เข้ากับสีผิวส่วนใหญ่ของคนไทย โดยเน้นไปที่โทนสีเข้มสำหรับผิวคล้ำ และสีอ่อนสำหรับผิวขาว เพื่อตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มวัยรุ่นหรือวัยทำงานที่พบกับปัญหาสิวอักเสบโดยเฉพาะ ทั้งนี้ ผลสำเร็จจากงานวิจัยดังกล่าวสามารถถ่ายทอดไปยังผู้ประกอบการที่สนใจ อาทิ บริษัทผู้ผลิตเครื่องสำอาง โรงพยาบาลและคลินิกด้านความงาม เพียงแค่ลงทุนซื้อเครื่องปั่นเส้นใยไฟฟ้าสถิตก็สามารถต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ในรูปแบบที่หลากหลาย โดยไม่จำเป็นจะต้องใช้สารสกัดจากเปลือกมังคุดเท่านั้น
ส่งต่อความคิด
ตลาดผลิตภัณฑ์รักษาสิวในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องที่ 8-10% จากปี 2550 สินค้าในกลุ่มนี้มีมูลค่าสูงถึง 100 ล้านบาท ขยับเป็น 300 ล้านบาทในปี 2552 และ 1 พันล้านบาทในปัจจุบัน โดยตลาดใหญ่ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์แต้มสิวและโฟมขจัดสิว
"แผ่นแปะรักษาสิวมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 2% หรือ 20 ล้านบาท เนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ในตลาดส่วนใหญ่ยังไม่เป็นที่ยอมรับจากผู้ใช้ จึงยังมีส่วนแบ่งอีก 90% ที่รอให้นักลงทุนเข้ามาต่อยอด โดยอาศัยความโดดเด่นของผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาจากวิจัยวิทยาศาสตร์และนาโนเทคโนโลยี" ดร.พิกุลทอง กล่าว
ทั้งนี้ ผลงานวิจัยแผ่นแปะรักษาสิวเป็น 1 ใน 5 ผลงานวิจัยเด่น ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ที่จะเปิดตัวในงาน NSTDA Investor's Days 2012 ซึ่งจัดขึ้นภายใต้แนวคิด "นักวิจัยคิด นักธุรกิจลงทุน หนุนเศรษฐกิจไทยสู่ AEC" ในวันที่ 20 ก.ย.นี้ ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์
ส่วนอีก 4 ผลงานที่เหลือ ได้แก่ ตัวเร่งปฏิกิริยาไบโอดีเซลจากเปลือกไข่ เครื่องตรวจจับจุลชีพด้วยแผ่นช่องทางเดินของไหลขนาดไมครอนพร้อมระบบวินิจฉัยทางไกล ชุดทดสอบออกซิเจนละลายน้ำแบบพกพาและเครื่องวัดและวิเคราะห์ขนาดฝุ่นละอองขนาดเล็กในอากาศ ภายในงานยังจะพบกับผลงานวิจัยน่าลงทุนจากเครือข่ายวิจัยที่มีศักยภาพ อีกกว่า 27 ผลงาน พร้อมด้วยเวทีเจรจาธุรกิจให้ภาคเอกชนที่สนใจลงทุนธุรกิจใหม่ หรือต่อยอดธุรกิจเดิมโดยอาศัยผลงานวิจัยเป็นพลังในการขับเคลื่อน
ถึงเวลาแล้วที่เราต้องพัฒนาเอาธรรมชาติที่มีอยู่มาดัดแปลง เพื่อพลิกธุรกิจให้หยั่งยืน และเป็นที่รู้จักต่อประชากรทั่วโลก ถึงความสามารถของคนที่เราที่ดัดแปลงเอาเส้นใยนาโน มาปรับใช้กับผลไม้ไทย ให้เกิดประโยชน์ต่อเนื่องกับธุรกิจ และสร้างชื่อเสียงให้กับสมุนไพร และผลไม้ไทยอีกด้วย หากเพื่อนๆมีไอเดีย อื่นๆเพิ่มเติม ว่า "สมุนไพรหรือผลไม้ไทย" ชนิดไหนที่น่าจะมีประโยชน์ด้านเวชสำอาง ลองมาพูดคุยกันได้นะคะ ^^
ขอบคุณความรู้ดีดีจาก กรุงเทพธุรกิจ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น