วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2555

วัวรู้ วัวแรง องค์ประกอบที่ต้องพึ่งพากัน


       สวัสดีเช้าๆในวันที่อากาศกำลังเย็นสบาย รู้สึกตื่นมาแล้วสดชื่นดีจริงๆเลยนะคะ วันนี้ 24 ธันวาคม สำหรับเพื่อนๆชาวคริสเตียน คงกำลังเตรียมการนับถอยหลังเข้าสู่เทศกาลแห่งความรื่นเริง กับวันคริสมาสต์นี้ คืนนี้หลายๆครอบครัวคงมีปาร์ตี้คริสมาสต์อีฟ (Christmas Eve) กันเบาๆ ไอหมอกก็ขออวยพรให้ทุกท่านมีความสุข และให้รื่นเริงแบบนี้ไปทุกๆวันนะคะ

       วันนี้ตื่นมาไอหมอกก็ได้แนวคิดจากท่าน ว.วชิรเมธี ท่านกล่าวถึง "วัว" กับการทำงานที่เราทุกคนต้องเจอกันอยู่แล้วในเนื้องานของเรา ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานะพนักงานแบบไหนก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นระดับผู้บริการ หัวหน้างาน หรือเพื่อนร่วมงาน ล้วนแล้วแต่มีสถานะการทำงานอยู่ 2 อย่างสลับกัน ได้แก่ สถานะของการใช้ "ความรู้" ในการทำงาน และ การใช้ "แรง" ในการทำงาน หรือที่ท่าน ว. ท่านเรียกว่า "วัวรู้ และ วัวแรง" ในการทำงานที่จะทำให้เกิดความราบรื่นและมีประสิทธิภาพที่ดีที่สุดนั้น ต้องมีทั้งส่วนที่เป็นการใช้ความคิดในการวางแผน และการใช้แรงในการขับเคลื่อนงาน ซึ่ง 2 ส่วนนี้ต้องทำงานที่ต่อเนื่อง และช่วยเหลือ เกื้อกูลกันอยู่เสมอ


       ในที่นี้ ไอหมอกคิดว่า การอยู่ในสถานะ "วัวแรง" ไม่ได้หมายถึงคนที่ไม่มีความรู้ความสามารถด้านความคิด ใช้เป็นแต่แรงงาน แต่ไอหมอกเห็นว่า ในบางสถานการณ์คนที่เป็น "วัวรู้" จำเป็นต้องผันตัวเองมาเป็น "วัวแรง" ในงานที่ตนเองไม่ถนัด และในขนาดเดียวกัน "วัวแรง" ที่มีความชำนาญในเรื่องนั้นๆก็จะต้องผันตัวเองมาเป็น "วัวรู้" เพื่อขับเคลื่อนงานไปข้างหน้าอย่างช่ำชอง แต่สิ่งหนึ่งที่เราต้องพึงคำนึงถึงเสมอวว่า ไม่ว่าจะเป็นเนื้องานใดๆก็ตาม ย่อมจำเป็นต้องมีทั้งวัวรู้ และวัวแรง เพื่อเป็นฟันเฟืองที่สำคัญในการดำเนินธุรกิจอยู่เสมอ หากองค์กรใดมีแต่วัวรู้ ไม่มีวัวแรงองค์กรนั้นก็ไม่สามารถทำธุรกิจได้อย่างลื่นไหล และหากองค์กรใดมีแต่วัวแรง แต่ขาดวัวรู้ไป เชื่อว่าองค์กรนั้นๆก็ไม่มีความยั่งยืนเป็นแน่

       ในสถานะของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นวัวรู้ หรือวัวแรง อย่าหยิ่งทนงตัว ว่าตนเองดีเลิศกว่าผู้ใด และคิดน้อยเนื้อต่ำใจ เนื่องจากวัวแต่ละประเภทต่างก็เป็นผู้ชำนาญในเนื้องานของตนเองที่แตกต่างกันทั้งนั้น ไอหมอกก็ยังคงเชื่อว่า ไม่ว่าจะเป็นใครในองค์กรก็ตาม ล้วนเป็นแรงขับเคลื่อนให้องค์กรนั้นๆ เติบโตไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงทั้งสิ้น

วันอังคารที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ความเชื่อ+ความมั่นใจ คือความเชื่อมั่น


       สวัสดีเช้าวันอังคารค่ะเพื่อนๆ พรุ่งนี้ก็เป็นวันพ่อแล้ว เพื่อนๆมีแพลนจะพาคุณพ่อไปเที่ยวที่ไหนยังไงบ้างเอ่ย? สำหรับเพื่อนๆที่ไม่มีพ่ออยู่ด้วยในปัจจุบันแล้ว อย่าเพิ่งเศร้าใจไปนะคะ ไอหมอกเชื่อว่า ณ ตอนนี้คุณพ่อยังคงมองดูเพื่อนๆอยู่อย่างภาคภูมิใจอยู่แล้ว ^^


       วันนี้ไอหมอกมากับหัวข้อที่ว่า ความเชื่อมั่น .. ในความคิดของไอหมอก ไอหมอกคิดว่า "ความเชื่อมั่น" และ "ความเชื่อ" มันเป็นอันเดียวกันนะคะ ไม่รู้ว่าเพื่อนๆจะคิดเหมือนกันไหมน๊าา???..... :)) ไอหมอกคิดเองเออเองว่า ความเชื่อมั่น เกิดจากความเชื่อ บวกกับความมั่นใจ เพราะทุกวันนี้มนุษย์มักจะใช้ชีวิตอยู่บนความเชื่อ ...

              เพราะเราเชื่อว่าโลกนี้สวยงาม เราจึงอยู่มาได้ถึงทุกวันนี้
              เราเชื่อว่าเพื่อนของเราดี เราจะสามารถคบกันได้ยืนยาวมาถึงทุกวันนี้
              เราเชื่อว่างานเราดี เราถึงทำงานมาได้จนถึงทุกวันนี้
              เราเชื่อว่าคู่ชีวิตของเราดี เราจึงอยู่ข้างๆกันมาจนถึงทุกวันนี้
              เราเชื่อว่าธุรกิจของเราดี เราถึงรักและทะนุถนอม ผลักดันมาจนถึงทุกวันนี้

       หากวันไหนที่เราหมดความเชื่อในสิ่งนั้นๆ แน่นอนไอหมอกคิดว่า เราไม่ปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นวนเวียนอยู่ในชีวิต เพื่อให้เราต้องคิดทบทวนอยู่กับความไม่สวยงาม และไม่น่ารื่นรมย์อยู่เป็นแน่ ในเมื่อเราเชื่อว่ามันดีแล้ว เรามั่นใจมากน้อยแค่ไหนว่ามันดี 100% เรามาลองดู Case หนึ่งกันค่ะ

       ในธุรกิจของคนเราไม่มีใครที่ทำไปวันๆ โดยที่ไม่เชื่อว่าสักวันหนึ่งธุรกิจลูกรักของเราตัวนี้มันจะ "โต" "ยิ่งใหญ่" ในอนาคต ทุกคนเชื่ออยู่แล้วว่าสิ่งที่เราเลือก เราทำมันคือสิ่งที่ดีที่สุด ทีนี้มาดูกันว่าเพื่อนๆมั่นใจมากน้อยแค่ไหนในธุรกิจของตนเอง วันนี้เราเชื่อว่าธุรกิจเราจะยิ่งใหญ่ และมั่นใจว่าธุรกิจจะยิ่งใหม่กี่เปอร์เซ็นต์?????? ถ้าเชื่อว่าธุรกิจเราเติบโตแน่นอน มั่นใจว่าจะโตมากกว่า 100% นั่นหมายถึงเพื่อนๆสำเร็จไปแล้วในขั้นแรก .. เหมือนกับคำที่ว่า "พื้นฐาน+ความเชื่อ+ความมั่นใจที่ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง"

       ในเมื่อเราเชื่อว่าสิ่งนี้ดี มั่นใจว่าดี 100% ความเชื่อมั่นที่ว่า ชีวิตของเราจะต้องมีอนาคตที่สดใส ... วันนี้เพื่อนๆจะก้าวไปข้างหน้าอย่างเชื่อมั่น มุ่งมั่น พร้อมชนในทุกสถานการณ์ ไม่มีสิ่งไหนที่จะสามารถขัดขวางเราได้อย่างแน่นอน ไอหมอกขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่าน และขอเป็นกำลังใจให้ตัวเองด้วยนะคะ ^^"

วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เรียนรู้จากอดีต บริหารปัจจุบัน กล้าสร้างสรรค์อนาคต ท่าน ว วชิรเมธี.


       หลังจากที่ไอหมอกงานยุ่งไปซะเกือบเดือน คิดจะมานั่งเขียนบทความถึงเพื่อนๆ แต่ก็ไม่สามารถปลีกเวลามาได้เลย โอ้ยๆทรมาณ บางทียิ่งเห็น Email จากเพื่อนๆบางคนว่า ช่วงนี้ไอหมอกหายไปไหน?? ไอหมอกก็รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก ต้องรีบหาเวลามาทักทายเพื่อนๆกันหน่อยแล้ว ^^

       ช่วงนี้เป็นช่วงแห่งชั่วโมงความยินดี กับความสำเร็จของบัณฑิตใหม่ในหลายๆสถาบัน ก่อนอื่นไอหมอกก็ขอแสดงความยินดีด้วยนะคะ ใครว่าการเป็นบัณฑิตจะเป็นกันง่ายๆ กว่าจะได้รับปริญญาบัตร เราต้องผ่านอะไรมาตั้งเยอะแยะ ดังนั้นน้องๆจงภูมิใจในวันสำคัญของตนเองในวันนี้ให้มากๆกันนะ :)


       ไอหมอกได้มีโอกาสพูดคุยกับเพื่อนตอนเช้านี้เอง เค้าพูดถึงวลีเด็ดที่ว่า "เรียนรู้จากอดีต บริหารปัจจุบัน กล้าสร้างสรรค์อนาคต" ประโยคสั้นๆ แต่ไอหมอกเชื่อว่าสะกิดใจหลายๆคน เมื่อในบางครั้งหลายๆคนจะยึดติดและยืนอยู่กับอดีต ที่มันกลับมาทำร้ายเราและส่งผลต่อเนื่องกับปัจจุบันและอนาคต ทั้งๆที่รู้แต่เพื่อนๆก็ยังไม่สามารถที่จะทิ้งอดีตส่วนนั้นได้เลย จากประโยคนี้ทำให้ไอหมอกคิดว่า บางทีการที่ไอหมอกเปลี่ยนสี กลายเป็นสีเทาๆ มันไม่ได้มาจากมลพิษทางใด แต่มันมาจากความคิดของไอหมอกเอง ที่นำเอาความคิด เหตุการณ์ในหลายๆเรื่องมาเป็นตัวทำให้ไอหมอกกลายเป็นสีเทา อึมครึม ทำให้ใครๆก็ต้องการวิ่งหนี เพราะกลัวว่าจะเกิดฝนฟ้าคะนอง! วันนี้ไอหมอกได้ลองสลัดแนวคิดที่ส่งผลโดยตรงกับตัวเราออก รู้มั้ยว่ารู้สึกดีแค่ไหน (รู้งี้เราสลัดนานแล้ว อิอิ) วันนี้ไอหมอกดูเป็นสีขาวที่สวยงาม ได้รับแสงสีทองอ่อนอ่อนจากดวงอาทิตย์ยามเช้า ทอแสงประกายเบาๆผ่านตัวไอหมอก แน่ละสิเพราะว่าวันนี้เราสลัดความทุกข์ออกไปแล้ว ทุกอย่างที่เรามี ที่เราเป็น และสิ่งที่คนอื่นมองเห็นมันย่อมดูสดใส สวยงาม ดูไม่มีพิษภัยใดๆ


       ตั้งแต่นี้ต่อไป ไอหมอกก็เลยสัญญากับตัวเองว่า จะไม่เอาเรื่องร้ายใดๆ หรือเหตุการณ์อันก่อให้เกิดทุกข์จากของใครมาทำให้ไอหมอกกลายเป็นสีเทาอีกแล้ว เราต้องนำเอาอดีตที่เกิดขึ้น มาปรับปรุง เรียนรู้ และพัฒนาให้ในวันนี้ และอนาคตของเราเป็นสิ่งที่ดีและสวยงามที่สุด เพราะว่าวันนี้เราอยู่กับปัจจุบัน หากไม่มีการวางแผนในปัจจุบันให้ดี เรานั่นแหละที่อาจมองไม่เห็นอนาคตหรือทำลายอนาคตของเราด้วยมือของเราเอง ไอหมอกเชื่อว่าคนที่จะทำร้ายเราไม่มีใครที่จะเข้าถึงเราได้ง่ายๆ ไอหมอกจึงไม่เคยกลัวว่าใครจะคิดร้ายและจะเข้ามาทำร้ายเราเมื่อไหร่? แต่สิ่งที่เรากลัวที่สุดนั่นคือการที่เรา ตั้งใจที่จะทำร้ายตัวของเราเอง ... ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคน เพื่อนๆคนไหนที่อยากแบ่งปันเรื่องนี้ สามารถเขียนมาแบ่งปันกันได้นะคะ ^^

วันอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ผมไม่ได้เป็นคนพิการ ผมคือคนปกติ !


       วันนี้มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนแนวคิดกันในตอนเช้า ก่อนเริ่มทำงาน แนวคิดอะไรดีดีก็เกิดจากการรวมไอเดียนี่เแหละค่ะ ใครจะเชื่อว่า บางครั้งแนวคิดของคนบางคนเพียงแค่ 1 ประโยคที่เค้ากล่าวออกมานั้น สามารถเป็นสิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่นได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว


       อย่างวันนี้ไอหมอกได้มีโอกาสพูดคุยกับ คุณสมจิตร ผู้พิการขาขาดจากเหตุการณ์ไฟไหม้บ้านตอนอายุ 4 ขวบ มาถึงวันนี้สมจิตรอายุ 20 ปี สมจิตรได้แนวคิดมากมายที่เกิดจากการเรียนรู้ของตนเองตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สมจิตรบอกกับเราว่า "ผมไม่เคยคิดว่าผมเป็นคนพิการ ผมคิดอยู่เสมอว่า ผมเป็นคนเหมือนคนอื่นๆ ผมไม่ชอบที่จะใช้รถเข็นเพื่อพาตัวเองไปนั่นนี่ ผมชอบที่จะเดินไปด้วยขา 2 ข้างของผมที่ผมยังมีอยู่ ถึงแม้ว่ามันจะมีขนาดสั้นกว่าขาของคนอื่นๆ เค้าก็ตาม บางทีผมก็สามารถเดินให้เร็วอย่างก้าวทันคนอื่นๆ แต่บางครั้งเมื่อผมเหนื่อยจากการเดินเร็ว ผมก็แค่เดินให้ช้าลง เพื่อคลายความเหนื่อยของตัวเอง ถึงแม้ว่าผมจะเดินไปถึงจุดหมายช้าลงกว่าคนอื่น แต่ผมก็ยังไปถึง ขอแค่เราไม่หยุดเดิน เดินก้าวไปอย่างสม่ำเสมอ ช้าบ้างเร็วบ้างสลับกันไป ขอให้มุ่งมั่นที่จะก้าวไปก็พอ"


       มาถึงจุดนี้ไอหมอกรู้สึกว่า สิ่งที่สมจิตรมีมากกว่าคนอื่นๆ นั่นก็คือความคิดแนวบวก ที่มองโลกในแง่ดีอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้สมจิตรไม่รู้สึกด้อยค่า หรือน้อยเนื้อต่ำใจในตัวเอง นอกจากแนวคิดแนวบวกแล้ว สิ่งหนึ่งที่สมจิตรมี ยังเป็นสิ่งที่เราควรมาปรับใช้ นั่นคือความพยายาม และความมุ่งมั่น ที่จะก้าวเข้าไปสู่เป้าหมายที่วางไว้นั่นเอง อย่างน้อย ณ วันนี้สมจิตรยังสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้กับเพื่อนๆ รวมทั้งไอหมอกได้เป็นอย่างดี วันนี้เมื่อเรามีโอกาสในการคิด และทำ เราก็ควรจะใช้โอกาสนั้นให้เต็มที่ เท่าที่เราจะสามารถทำได้ ไม่ว่าผลมันจะออกมาเป็นอย่างไร ไอหมอกก็ยังเชื่อว่า โลกนี้ยังมีสิ่งที่สวยงามรอต้อนรับเราอยู่เสมอ :)


วันเสาร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ทฤษฎีนกกระจอก


       จากการที่เหน็ดเหนื่อยจากการทำงานมาได้ระยะหนึ่ง ทำให้เกิดอยากไปนั่งปล่อยอารม และปรึกษาแนวคิดกับผู้ใหญ่ที่เคารพ ก็เลยแวะไปที่ประจำกับคนญี่ปุ่นใจดี ร้านอาหารญี่ปุ่นซันซุย จ.เชียงใหม่ ร้านอาหารที่อยู่กับเชียงใหม่มา 20 กว่าปี ร้านนี้เจ้าของร้าน "คุณซาโม่" เค้าใส่ใจกับอาหารทุกจานด้วยตัวเค้าเอง ... ที่นี่ นอกจากได้ลิ้มรสอาหารญี่ปุ่นต้นตำรับกันแล้ว ไอหมอกยังคงได้นั่งพูดคุย และรับฟังแนวคิดดีดีจาดคุณซาโม่กันด้วย วันนี้ไอหมอกเลยนำมาแชร์ให้เพื่อนๆ ได้อ่าน และเรียนรู้แนวคิดของคนญี่ปุ่นเพิ่มเติมกันค่ะ

 

       คุณซาโม่พูดถึง "ทฤษฎีนกกระจอก" ให้เราเห็นภาพกันง่ายๆกันด้วยค่ะ .. "นกกระจอก เป็นนกตัวเล็กๆ ที่ทุกๆคนคงเคยเห็น เราเปรียบเจ้าของกิจการเป็นเหมือนหัวของนกกระจอก เป็นผู้ที่คิดวางแผนว่า จะบินไปทางไหน ทางไหนที่จะเป็นทางที่มีแรงพยุงใต้ปีก ทางไหนที่เป็นพายุ เป็นส่วนที่คิดหาช่องทางให้การบินนี้ เป็นการบินที่ถึงเป้าหมายให้เร็วที่สุด .. ส่วนลูกน้องเปรียบเหมือนหางนกกระจอก คือส่วนสำคัญที่ทำให้นกกระจอกได้รับแรงพยุงใต้ปีกจากลมอย่างเต็มที่ หางนกกระจอกเป็นส่วนที่เสริมสร้างการบินของนกกระจอก และสร้างความสัมพันธ์กันอย่างสมดุล การบินของนกกระจอกตัวนั้นจึงจะสามารถบินไปในทางที่เจอแต่แสงสว่าง และสิ่งสวยงาม คนที่จะเป็นเจ้าของกิจการ หากไม่เคยเป็นลูกจ้าง ไม่มีวันเข้าใจจิตใจลูกน้อง .. คนที่ไม่ลองเป็นลูกจ้าง จะไม่เข้าใจความคิดของผู้บริหาร และจะก้าวเป็นเจ้าของกิจการไม่ได้ .. หัวกับหางต้องเข้าใจกัน และเรียนรู้ต่อกันเสมอถึงจะมีความสมดุล" มาถึงตรงนี้ไอหมอกคิดว่า ทฤษฎีนกกระจอกนี เป็นทฤษฎีที่น่าสนใจมากมายเลยค่ะ บางทีเราอาจมองข้ามไป เนื่องจากบางครั้ง เรามีหลายสิ่งหลายอย่างที่คิดมากมาย จนอาจทำให้ลำดับความสำคัญไม่ได้ สิ่งไหนก็จำเป็นต้องคิดต้องทำไปซะหมด

       คุณซาโม่ยังปิดท้ายอีกว่า หลายๆคนโชคดีที่ ณ วันนี้เวลานี้ คนๆเดียวเป็นได้ 2 หน้าที่ในเวลาเดียวกัน นั่นคือ หัวและหางของนกกระจอก หรือที่เราเรียกกันง่ายๆว่า เป็นทั้งเจ้านายของที่หนึ่ง และเป็นลูกน้องของอีกที่หนึงในเวลาเดียวกัน ซึ่งน้อยคนนักที่จะสามารถรับการเรียนรู้จาก 2 ด้านที่มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงได้อย่างลงตัว บางทีการที่เราใช้ทักษะการเป็นอยู่ในขณะนี้ เข้ามามีส่วนปรับใช้ในการทำงานแต่ละสถานะก็เป็นการทำให้งานที่เราทำอยู่นั้นออกมาในรูปแบบผลลัพธ์ที่ดีอย่างที่เราภูมิใจก็เป็นได้


       ไอหมอกเห็นว่า ในฐานะของการเป็นผู้บริหาร หรือเจ้านาย ควรที่จะเรียนรู้ความคิด และรับฟังความคิดเห็นในมุมมองของลูกน้องมากยิ่งขึ้น ถึงจะสามารถบริหารจัดการกิจการอย่างเข้าอกเข้าใจ ซึ่งผลที่ได้มานั้นไม่ได้แค่จากแนวคิดของพนักงานเท่านั้น แต่ยังได้รับการถ่ายทอดความคิดของลูกค้าผ่านทางพนักงานอีกด้วย ในขณะเดียวกันคนที่เป็นลูกน้อง หรือลูกจ้างก็อย่าเพิ่งน้อยอกน้อยใจไปว่า ทำไมตนเองถึงเป็นแค่พนักงาน แต่เราควรใช้โอกาสในการเป็นตั้งพนักงาน ในการเรียนรู้แนวคิดของผู้บริหารกิจการ มุมมองด้านการบริหารชีวิตและธุรกิจของผู้นำอย่างเต็มที่ เพื่อที่วันนึงท่านจะได้เติบโตขึ้นตามอย่างผู้ที่ท่านได้เรียนรู้มา ไอหมอกขอเป็นกำลังใจให้กับทุกท่านนะคะ ^_____^"

SMEs กับเว็บไซต์ เครื่องมือสำคัญในการทำธุรกิจ

       สวัสดีค่ะ เพื่อนๆที่รักของไอหมอก ขอโทษทีนะคะ ที่ไอหมอกห่างหายไปเลยพักนึง แบบว่างานยุ่งมากมายเลยค่ะช่วงนี้ แต่วันนี้รู้สึกคิดถึงแฟนๆไอหมอกจับใจ ขอหาเวลามาทักทายเพื่อนๆยามบ่ายกันสักนิดนึง หวังว่าเพื่อนๆคงไม่น้อยใจไอหมอกกันนะคะ ^____^"

       เอ่ เอ้ วันนี้มีเรื่องราวในหัวมากมายที่อยากจะเขียนออกมาให้เพื่อนๆได้แชร์ไอเดียร่วมกัน จนรู้สึกว่า .. มันเยอะจนเลือกไม่ถูก แหะๆ อืมมมม .. เอาเป็นว่า มาคุยเรื่องเกี่ยวกับแนวทางการเพิ่มช่องทาง ทางธุรกิจของเรากันดีกว่าค่ะ .. เรื่องมันมีอยู่ว่า ไอหมอกได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้ประกอบการหลายๆท่าน ที่เป็น SMEs หัวใจใหม่ ที่มีความหระตือรือร้นเป็นพิเศษเกี่ยวกับ AEC ที่จะถึงนี้ (ถึงแม้ว่า AEC อาจจะมีการขยาย เลื่อนระยะเวลาไปก็ตาม) แต่ไอหมอกถือว่า ผู้ประกอบการเหล่านี้มองเห็นถึงความสำคัญสำหรับการขยายช่องทางธุรกิจต่อ AEC เป็นอย่างมากเลยทีเดียว ดีแล้วละค่ะที่เรามีการเตรียมความพร้อมตั้งแต่เนิ่นๆ ดีกว่ามาเร่งตอนทีหลัง เพื่อให้ทันตามกระแสแบบนี้เหนื่อยแย่เลยนะคะ

       พี่ผู้ประกอบการท่านหนึ่ง เค้าคุยกับไอหมอกว่า จริงๆแล้วที่ผ่านมาเค้าคิดมาเสมอว่า สินค้าของเค้าเป็นสินค้าที่ดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องง้อลูกค้า ลูกค้าที่เข้ามาเป็นลูกค้าที่ชื่นชอบสินค้าของเค้าเป็นอย่างมากอยู่แล้ว และจากฐานลูกค้านี้เอง ทำให้เค้าคิดว่า แค่นี้เค้าก็พอใจในสิ่งที่ธุรกิจตนเองเป็นอยู่แล้ว แต่มา ณ จุดหนึ่ง ที่เริ่มมีคู่แข่งเข้ามาในตลาดธุรกิจประเภทเดียวกันกับเค้ามากขึ้น ลูกค้าของเค้าก็เริ่มหายไป ทีนี้แหละจะเอาไงดีละคะ จะมีทางไหนที่เราจะสามารถดึงลูกค้าเก่ากลับมา พร้อมกับดึงดูดความสนใจจากลูกค้าใหม่อีกด้าน แน่นอนละค่ะ ลูกของเรากำลังมีปัญหา บรรดาพ่อแม่ที่ดูแลประคบประหงมมาตลอดตั้งแต่เล็กจนโต ไม่มีทางอยู่ได้อย่างสบายใจ และเย็นใจได้หรอกค่ะ จริงมั้ย? พี่เค้ากับไอหมอกเลยมานั่งคุยกันว่า .. จริงๆแล้วการทำธุรกิจในยุคปัจจุบัน หากไม่มีการตื่นตัวและหาช่องทางใหม่ๆอยู่เสมอ ไม่มีทางที่จะเจริญเติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันเป็นยุคของโลกอินเทอร์เน็ตและ IT หากผู้ประกอบการที่ต้องการแข่งขันและรักษาฐานตลาดลูกค้าอย่างกว้างขวาง ผู้ประกอบการในปัจจุบันจำเป็นต้องใช้เครื่องมือให้เข้ากับยุคสมัยในโลกออนไลน์ และเพื่อประโยชน์ในการสื่อสารกับกลุ่มลูกค้าให้ทันยุคสมัย และเป็นการเตรียมพร้อมด้านการแข่งขันในตลาด AEC และมีศักยภาพในการแข่งขันในตลาดอย่างดีเยี่ยม .. ไอหมอกแนะนำให้ผู้ประกอบการมีเว็บไซต์ในการนำเสนอสินค้าและรายละเอียดสถานประกอบการของท่าน อาจเป็นเว็บไซต์อย่างง่าย ที่สามารถอ่านรายละเอียด ข้อมูลต่างๆ อย่างสบายตา โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีราคาแพงมากมายแต่อย่างใด ... เนื่องในปัจจุบัน การเข้าถึงสินค้าต่างๆ ผ่านทางโลกออนไลน์เป็นที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง เพื่อนๆผู้ประกอบการลองดูนะคะ บางที การที่เรามีเว็บไซต์ อาจเป็นผลดีต่อหลายๆสิ่งในอนาคตก็เป็นได้ค่ะ ^^* สำหรับเพื่อนๆที่มีความรู้ด้านเว็บไซต์ และอยากแนะนำ ก็สามารถเข้ามาพูดคุยกันได้นะคะ ไอหมอกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะเป็นตัวกลางในการให้คำแนะนำให้กับทุกท่านค่ะ 

ตัวอย่างเว็บไซต์


วันเสาร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2555

'ป๊อปคอร์น'ข้าวโพดม่วงเมืองสามหมอก


       แจ้งเกิดในงาน "มหกรรมสินค้าโอท็อป" ที่เมืองทองธานี ได้ยังไม่ถึง 2 ปี มาวันนี้ "ป๊อปคอร์นไทยใหญ่" ผลิตภัณฑ์ที่ "กลุ่มเกษตรกรเมืองสามหมอก" ต.จองคำ อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน แปรรูปมาจากข้าวโพดเหนียวสีม่วงที่ชาวไทยใหญ่นำมาคั่วผสมเกลือให้เด็กๆ กินเล่นในอดีต กลายเป็นสินค้าที่ขายดี และกำลังจะแซงผลิตภัณฑ์ที่ขายดีที่สุดของกลุ่มเดียวกัน "ขนมงาโหย่ว" โอท็อป 5 ดาว ล่าสุดได้ส่งประกวดเพื่อให้คณะกรรมการคัดสรรสุดยอดผลิตภัณฑ์หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ของ จ.แม่ฮ่องสอน ในปีนี้


       ดาริณี รณะบุตร ประธานกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรเมืองสามหมอก บอกว่า ที่ผ่านมาทางกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรเมืองสามหมอกแปรรูปเมล็ดงาทำเป็นขนม "งาโหย่ว" และถั่วเหลืองทอด จนเป็นที่เป็นที่รู้จักของนักบริโภคอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะขนมงาโหย่ว เนื่องจากได้รับการคัดเลือกเป็นสินค้าโอท็อปทั้ง 3 ดาว 4 ดาว และ 5 ดาว กระทั่งต้นปีที่แล้ว (ปี 2554) ได้ทดลองนำผลิตภัณฑ์ "ป๊อปคอร์นไทยใหญ่" ไปลองขายงานมหกรรมสินค้าโอท็อปที่ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค อารีน่า เมืองธานี จำนวน 400 ถุงปรากฏว่าขายจนเกลี้ยง หลังจากนั้นก็นำไปขายงานโอท็อปอีกหลายครั้ง ได้รับความสนใจจากลูกค้าเป็นอย่างดี เพราะผู้บริโภคไม่เคยเห็นสินค้าประเภทนี้มาก่อน

       "ที่จริงป๊อปคอร์นไทยใหญ่ไม่ใช่ของใหม่หรอกค่ะ ตามปกติชาวไทยใหญ่ทำมานานแล้ว คือนำข้าวโพดเหนียวสีม่วง ที่เรียกง่ายๆว่าข้าวโพดสีม่วง หรือบางคนเรียกว่าข้าวโพดสีดำ ที่ชาวไทยใหญ่และชาวเขาเผ่าลีซอปลูกเป็นอาชีพอย่างหนึ่ง โดยเอาเมล็ดข้าวโพดสีม่วงมาคั่วกับน้ำมันงา แล้วมาผสมเกลือให้เด็กๆ กินเล่น สำหรับคนจนในพื้นที่ แต่ฉันเห็นว่าข้าวโพดสีม่วงมีคุณประโยชน์ทางด้านโภชนาการ ทางกลุ่มแม่บ้านเราจึงนำมาแปรรูปเป็นผลิตใหม่ของกลุ่ม แรกๆ ขายในท้องถิ่น แต่หลังจากไปขายในงานโอท็อปที่เมืองทอง ปรากฏว่าได้การตอบรับเป็นอย่างดี อย่างไม่น่าเชื่อ และระยะหลังเวลาไปออกงานโอท็อปที่ไหนก็ดีทุกครั้ง กลายเป็นผลิตภัณฑ์ดาวรุ่งของกลุ่มในขณะนี้" ดาริณี กล่าว

       ประธานกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรเมืองสามหมอก บอกอีกว่า หลังจากป๊อปคอร์นไทยใหญ่เป็นที่รู้จักมากขึ้น ทำให้วันนี้ทางกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรเมืองสามหมอกมีออเดอร์เข้ามาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้นัดท่องเที่ยวที่มาเที่ยวใน จ.แม่ฮ่องสอน จะถามหาสินค้าป๊อปคอร์นไทยใหญ่มาตลอด ทางกลุ่มต้องผลิตอย่างน้อยวันละ 300-400 ถุง เป็นถุงขนาดน้ำหนัก 80 กรัม ขายส่งในราคา 35 บาท ขายปลีก 40 บาท ปัจจุบันมีวางในพื้นที่แม่ฮ่องสอนพร้อมกับสินค้าตัวเดิม ไม่ว่าจะเป็นขนมงาโหย่ว และถั่วเหลืองทอด อาทิ หจก.ภาสว่าง ตลาดสายหยุด ศูนย์โอท็อป จ.แม่ฮ่องสอน นอกจากนี้ส่งขายในตลาดวโรรสเชียงใหม่ ศูนย์ศิลปชีพ 904 โครงการสายใยรักแห่งครอบครัว ร้านสันติอโศก ร้านพลังบุญ ร้านสมุนไพร จ.ยะลา ร้านของฝากลำปาง รวมถึงงานแสดงสินค้าโอท็อปที่รัฐบาลจัด เป็นต้น

       "ป๊อปคอร์นไทยใหญ่ เป็นผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ ที่ยังไม่ได้โอท็อป แต่ปีนี้เราส่งเข้าประกวดในโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ถ้าผลิตภัณฑ์ตัวนี้ได้โอท็อป ตลาดไปได้สวยแน่นอน เพราะตอนนี้ถือว่าเป็นสินค้าที่ขายพอๆ กับขนมงาโหย่วแล้ว ทั้งๆ ที่เราเพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการไม่ถึง 2 ปี" เธอกล่าวอย่างมั่นใจ


       ด้าน เทอดศักดิ์ ปิติวุฒิ กรรมการผู้จัดการ หจก.ภาสว่าง ผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปในพื้นที่ จ.แม่ฮ่องสอน รวมถึงป๊อปคอร์นไทยใหญ่ บอกว่า จะรับผลิตภัณฑ์จากกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรเมืองสามหมอกมาทำการตลาด ไม่ว่าจะเป็นขนมงาโหย่ว ถั่วเหลืองทอด และป๊อปคอร์นไทยใหญ่ ซึ่งเป็นผลิตตัวใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อต้นปีที่แล้ว แต่ตอนนี้สามารถขายได้ไม่แพ้ขนมงาโหย่ว ถั่วเหลืองทอด แต่ละวันจะขายได้เฉลี่ยที่วันละ 400 ถุง สังเกตดูจากที่นักท่องเที่ยวเข้าไปชิม จำนวน 10 คนต้องซื้อป๊อปคอร์นไทยใหญ่ถึง 8 คน เพราะรสชาติอร่อย กรอบ มันเค็มนิดๆ เมล็ดไม่บานเหมือนป๊อปคอร์นทั่วไป

       ขณะที่ สมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวระหว่างพาสื่อมวลชนไปดูงานสหกรณ์ที่ จ.แม่ฮ่องสอน ว่า ต่อไปจะเน้นในเรื่องการสร้างเครือข่ายสหกรณ์ให้เข้มข้นขึ้น ผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาสหกรณ์ด้วยกันที่เอื้อประโยชน์ ให้การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยไม่ต้องผ่านระบบการจัดการของคนกลาง ดั่งเช่นสหกรณ์แม่ฮ่องสอน ที่มีผลิตภัณฑ์หลากหลาย เช่น ถั่วเหลืองคั่ว กระเทียม รวมทั้งป๊อปคอร์นไทยใหญ่ ทำแปรรูปมาจากข้าวโพดข้าวเหนียวม่วง ถือเป็นผลิตผลทางการเกษตรจากเกษตรกรในพื้นที่ แต่สามารถกระจายสินค้าส่งไปขายได้ทั่วทุกภาคของประเทศ

       แม้ "ป๊อปคอร์นไทยใหญ่" จะเป็นขนมขบเคี้ยวสำหรับเด็กที่มีฐานะยากจน ในท้องถิ่น จ.แม่ฮ่องสอน แต่ถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ของคนถิ่นอื่น แต่แต่ด้วยความแปลกใหม่ รสชาติที่อร่อยชนิดไม่มีใครเหมือน ทำให้วันนี้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่กำลังมาแรงของกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรเมืองสามหมอก

--------------------
เคล็ดลับง่ายๆ ทำกินเองได้

       พันธิพา ปิติวุฒิ สมาชิกกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรเมืองสามหมอก บอกถึงขั้นตอนในการผลิตป๊อปคอร์นไทยใหญ่ว่า หลังจากนำวัตถุดิบคือข้าวโพดเหนียวสีม่วง ซึ่งมีการปลูกในพื้นที่ มาแกะเมล็ดออก จากนั้นนำไปผึ่งแดดให้แห้ง สามารถเก็บไว้ได้นาน

       เมื่อจะนำมาทำเป็นป๊อปคอร์นไทยใหญ่ก็นำเมล็ดข้าวโพดเหนียวที่ตากแห้งมาแช่น้ำ 1 คืน สะเด็ดน้ำให้แห้ง เอากระทะขึ้นเต่าถ่านไฟร้อนปานกลางใส่น้ำมันงาเกินครึ่งกระทะ (น้ำมันให้เยอะ) แล้วเอาเมล็ดข้าวโพดลงไป ใช้ฝาที่นูนครอบ

       ระหว่างนั้นจะมีเสียงเมล็ดข้าวโพดแตกดังเป็นระยะ รอจนกว่าเสียงเงียบ จึงตักใส่กระด้ง โรยด้วยเกลือป่น ปริมาณ 1% ของปริมาณของเมล็ดข้าวโพด แล้วนำมาใส่ถุงซีนปิดอากาศเพื่อรักษากลิ่นหอมและความกรอบ ก็สามารถส่งจำหน่ายให้กลุ่มผู้บริโภคได้  โดยข้าวโพดเหนียวสีม่วง 20 ฝัก ได้เมล็ดข้าวโพด 1 ลิตร   สามารถนำมาทำป๊อปคอร์นได้ 50 ถุง

       สำหรับข้าวโพดข้าวเหนียวม่วงมีคุณค่าทางโภชนาการ ประกอบด้วย คลอโรฟิลล์ ออกซิเจน ช่วยฟอกเลือด สร้างเม็ดเลือด ช่วยระบบหมุนเวียนโลหิต มีแอนโทไซยานิน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้อัตราการเสื่อมสภาพของเซลล์ในร่างกายลดลง ทำให้แก่ช้ากว่าวัย นอกจากนั้นยังมีสารช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคมะเร็งต่างๆ ช่วยให้ร่างกายต่อต้านเชื้อโรค ช่วยสมานแผลและเสริมสร้างการทำงานของสมอง เหมาะสำหรับทุกวัย อีกทั้งเป็นการนำเสนอของดีประจำท้องถิ่นอีกด้วย

--------------------
'ป๊อปคอร์นไทยใหญ่' จากข้าวโพดม่วง ผลิตภัณฑ์มาแรงจากเมืองสามหมอก : โดย...ดลมนัส  กาเจ หนังสือพิมพ์ คม ชัด ลึก

วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2555

สตีฟ จ็อบส์ 2

18 เรื่อง(ส่วนตัว)ที่คุณไม่เคยรู้เกี่ยวกับ สตีฟ จ็อบส์ 2

      หลังจากที่เราพูดถึง 18 เรื่องส่วนตัวไปก่อนหน้านี้แล้วครึ่งหนึ่ง วันนี้เรามาตามเอาส่วนที่เหลือกันนะคะ ^^



      10.จ็อบส์ให้คำแนะนำกับแลร์รี เพจว่ากูเกิลกำลังจะกลายเป็นไมโครซอฟท์ ทั้งๆ ที่จ็อบส์ไม่ลงรอยกับเอริค ชมิดท์ อย่างไรก็ตาม จ็อบส์ได้ให้คำแนะนำแก่แลร์รี เพจในเรื่องเกี่ยวกับกูเกิล จ็อบส์บอกกับเพจว่ากูเกิลกำลังจะกลายเป็นไมโครซอฟท์ ดังนั้นจงรักษาผลิตภัณฑ์ที่ดีของกูเกิลไว้เพียง 5 อย่าง แล้วกำจัดสิ่งที่เหลืออกไป หาให้พบว่าต้องการให้กูเกิลเติบโตไปเป็นอะไร

       11.จ็อบส์กล่าวกับโอบามาว่า เขาจะสามารถดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีได้วาระเดียว จ็อบส์เคยกล่าวว่า บารัค โอบามาจะสามารถดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีได้เพียงสมัยเดียวเท่านั้น จ็อบส์มองว่านโยบายที่ไม่เป็นมิตรต่อระบบธุรกิจในประเทศของโอบามาคือปัญหาหลัก อย่างไรก็ตาม โอบามาและจ็อบส์ก็ยังคงติดต่อกันเรื่อยมา จ็อบส์เสนอช่วยการหาเสียงการเลือกตั้งของโอบามาที่จะมีขึ้นในปี 2012

       12.จ็อบส์กล่าวกับไอแซคสันว่าเขามีความลับของผลิตภัณฑ์ตัวต่อไปของแอปเปิ้ล ไอแซคสันกล่าวว่า โครงการใหญ่ของจ็อบส์กับผลิตภัณฑ์ตัวต่อไปของแอปเปิ้ลคือโทรทัศน์ที่รวบรวมอุปกรณ์เทคโนโลยีทุกสิ่งไว้ในเครื่องเดียวกัน ไม่ว่าจะการใช้งานคอมพิวเตอร์ เครื่องเล่นดนตรี และโทรศัพท์ ซึ่งเป็นอะไรที่เรียบง่ายแต่หรูหรา

       13.จ็อบส์ทิ้งดีไซน์ชิ้นแรกของสำนักงานแอปเปิ้ลแห่งที่สองที่เป็นแคมปัสในคูเปอร์ติโนเพราะลูกชายของเขาคิดว่าการออกแบบดังกล่าวมีลักษณะคล้ายอวัยวะเพศชาย

       14.จ็อบส์ผิดหวังกับการตอบรับไอแพดที่ไม่ดีเท่าที่ควร เมื่อไอแพดออกวางจำหน่าย ผู้คนหลายคนกล่าวว่ามันไม่ค่อยเป็นที่ประทับใจเท่าไรนัก เพราะไม่ค่อยมีความจำเป็น จ็อบส์ได้รับอีเมลกว่า 800 ฉบับจากผู้บริโภคที่ตำหนิในเรื่องดังกล่าว

       15.เกือบจะไม่มี ”แอพ” ต่างๆ ที่ใช้งานกันอยู่ทุกวันนี้ จ็อบส์ตัดสินใจได้อย่างถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องแอพพลิเคชั่น ในตอนแรกนั้นเขาปฏิเสธการใช้งานของ “แอพ” ต่างๆ เนื่องจากเกรงว่าทีมงานแอปเปิ้ลจะไม่สามารถแก้ปัญหาความซับซ้อนของระบบได้ แต่หลังจากที่คณะกรรมการบริหารแอปเปิ้ลเรียกร้องอยู่หลายต่อหลายครั้ง ในที่สุด เขาก็เปลี่ยนใจ

       16.จ็อบส์รู้สึกเสียใจที่ตัดสินใจไม่เข้ารับการผ่าตัดรักษามะเร็งตับอ่อน ภายหลังจากที่จ็อบส์พบว่าตนเองป่วยเป็นมะเร็งตับอ่อนในปี 2004 เขาตัดสินใจไม่เข้ารับการรักษาผ่าตัด ซึ่งต่อมาเขารู้สึกเสียใจที่ตัดสินใจเช่นนั้น จ็อบส์กล่าวกับไอแซคสันว่า เขาเลื่อนการผ่าตัดออกไปเพื่อไปรับการรักษาตามแนวทางอื่น เนื่องจากเขาไม่ต้องการให้ร่างกายของเขาถูกเปิดออกหรือมีอะไรเข้าไปจัดการในร่างกายของเขาด้วยวิธีการเช่นนั้น

       17.จ็อบส์กล่าวกับจอห์น สกัลลี ว่าเขาคิดว่าความตายเข้าใกล้เขาอยู่ในทุกขณะ จ็อบส์กล่าวกับซีอีโอแอปเปิ้ลคนก่อน จอห์น สกัลลีว่า เขาคิดว่าเขาต้องทำเรื่องต่างๆ ให้แล้วเสร็จในช่วงเวลาอันน้อยนิดที่เขามีเหลืออยู่ จ็อบส์กล่าวว่า พวกเรามีเวลาอันน้อยนิดบนโลกใบนี้ เรามีโอกาสที่จะทำสิ่งต่างๆ ที่น้อยนิดนี้ให้ยิ่งใหญ่และทำมันให้ดี ไม่มีใครรู้ว่าเราจะมีชีวิตอยู่ได้นานเท่าไหร่ แต่เขารู้สึกว่าเขาจะต้องทำมันให้สำเร็จในขณะที่เขายังเยาว์วัยอยู่

       18.สิ่งเดียวที่สตีฟ จ็อบส์ร้องขอเกี่ยวกับหนังสือชีวประวัติของเขาคือ หน้าปกหนังสือ สำหรับจ็อบส์แล้ว การนำเสนอคือทุกสิ่งทุกอย่าง เขาสัญญากับวอลเตอร์ ไอแซคสันว่าจะไม่เหลือบดูในสิ่งที่เขาเขียน แต่สิ่งเดียวที่จ็อบส์ร้องขอคือ ปกหนังสือจะต้องดูดีที่สุด

ที่มา: businessinsider.com

สตีฟ จ็อบส์ 1

18 เรื่อง(ส่วนตัว)ที่คุณไม่เคยรู้เกี่ยวกับ สตีฟ จ็อบส์ 1

       ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เรื่องราวชีวิตของสตีฟ จ็อบส์ ได้ค่อยๆ ถูกเปิดเผยให้โลกรู้ บางเรื่องก็สร้างความประหลาดใจไม่น้อยเลยทีเดียว ในครั้งนี้วอลเตอร์ ไอแซคสัน จะมาเปิดเผยเรื่องราวชีวประวัติของสตีฟ จ็อบส์ 18 สิ่งที่คุณยังไม่เคยรู้! ที่มาจากบทสัมภาษณ์กว่า 40 ครั้งของเขา ผู้ก่อตั้งบริษัทแอปเปิ้ลอันโด่งดัง สตีฟ จ็อบส์


       1.หากจ็อบส์ยังไม่ได้เริ่มก่อตั้งบริษัทแอปเปิ้ล ก็ยังมีงานอื่นรอเขาอยู่อีก และงานนั้นก็คือ การเป็นนักกวีในเมืองปารีส

       2.จ็อบส์เลิกไปโบสถ์ตั้งแต่อายุ 13 ปี เมื่อจ็อบส์อายุ 13 ปี เขาเห็นรูปเด็กผู้หิวโหยอยู่บนปกนิตยสาร Life เขาจึงถามคุณครูว่า พระเจ้ารู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเด็กๆ เหล่านั้น หลังจากนั้นมา จ็อบส์ไม่เคยกลับไปยังโบสถ์นั้นอีก และไม่ได้กลับไปนับถือศาสนาคริสต์อีกเลยนับแต่นั้นมา

       3.จ็อบส์สูบบุหรี่ครั้งแรกอายุ 15 ปี หลังจากนั้นเขาได้ลองใช้ยาหลอนประสาท จ็อบส์ค้นพบแรงบันดาลใจจากหลายๆ สิ่ง หนึ่งในนั้นคือยา เมื่ออายุได้ 15 ปี จ็อบส์เริ่มสูบกัญชา และก่อนที่จะจบการศึกษาระดับมัธยมปลาย จ็อบส์ได้ลองใช้ยาหลอนประสาทชนิดหนึ่ง (LSD) จ็อบส์กล่าวว่ามันเป็นประสบการณ์ที่สำคัญในชีวิตเลยทีเดียว

       4.จ็อบส์มีข้อมูลที่ดาวน์โหลดมาไว้ในไอพอดน้อยมาก และเขาดาวน์โหลดหนังสือมาไว้ในไอแพดเพีบงเล่มเดียวในไอพอดของจ็อบส์มีบทเพลงของ Bob Dylan และนักเชลโล่ชื่อดังก้องโลกอย่าง Yo-Yo Ma และหนังสือเพียงเล่มเดียวที่อยู่ในไอแพดของเขาคืออัตชีวประวัติของโยคี จ็อบส์อ่านสิ่งนี้ทุกๆ ปี ตั้งแต่เมื่อครั้งที่เขายังเป็นวัยรุ่น

       5.จ็อบส์คิดว่าผู้คนส่วนมากสามารถถูกแทนที่ได้ แต่นั่นไม่ใช่กับดีไซเนอร์อย่าง โจนาธาน ไอฟ
โจนาธาน ไอฟ คือนักออกแบบผลิตภัณฑ์ของแอปเปิ้ล ผู้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงาน จ็อบส์ถึงกับกล่าวว่าไอฟ คือผู้ร่วมงานทางจิตวิญญาณของเขา

       6.สตีฟ จ็อบส์ และพ่อที่แท้จริงของเขาเจอกันก่อนที่จะรู้ว่าทั้งสองมีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกัน ดังที่เราได้รับรู้ว่าจ็อบส์ถูกรับเลี้ยงโดยพ่อแม่บุญธรรม พ่อที่แท้จริงของจ็อบส์เป็นเจ้าของร้านอาหารแห่งหนึ่ง น้องสาวร่วมสายเลือดของจ็อบส์ โมนา ซิมป์สัน เคยบอกจ็อบส์ว่า พ่อเคยพูดกับเธอว่า อยากให้ลูกๆ เห็นเขาในวันที่เขามีร้านอาหารที่ใหญ่โตกว่านี้ แต่จ็อบส์ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ และไม่ค่อยกล่าวถึงเรื่องนี้มากนัก

       7.บิล คลินตัน เคยขอคำปรึกษาจ็อบส์เกี่ยวกับเรื่องอื้อฉาว โมนิก้า เลวินสกี้ เมื่อครั้งที่บิล คลินตัน ดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ เขาเคยโทรศัพท์ขอคำปรึกษาสตีฟ จ็อบส์ เกี่ยวกับเรื่องอื้อฉาวที่มีข่าวกับโมนิก้า เลวินสกี้ สิ่งที่จ็อบส์ให้คำแนะนำไปคือ “ผมไม่รู้ว่าคุณทำสิ่งนั้นหรือไม่ แต่หากเป็นเช่นนั้น คุณควรบอกให้ประเทศรับรู้”

       8.จ็อบส์ เกลียดเอริค ชมิดท์ เพราะจ็อบส์คิดว่าเขาคือผู้ที่ขโมยแอนดรอยด์ จ็อบส์ไม่ชอบเอริค ชมิดช์ เพราะจ็อบส์รู้สึกว่า กูเกิลขโมยแนวคิดจากไอโฟนไปสร้างแอนดรอยด์

       9.เมื่อฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา จ็อบส์เริ่มพบปะผู้คนที่เขาอยากพบก่อนตาย หนึ่งในนั้นคือบิล เกตส์
จ็อบส์ไม่ค่อยถูกชะตากับเกตส์เท่าไรนัก จ็อบส์เคยกล่าวว่าบิล เกตส์เป็นคนที่ไม่มีจินตนาการ และเขาไม่เคยคิดค้นอะไรใหม่ๆ เลย ในขณะที่เกตส์เองก็กล่าวว่าจ็อบส์เป็นคนที่แปลก เขาไม่รู้อะไรมากมายนักเกี่ยวกับเทคโนโลยี แต่เกตส์ก็ยอมรับว่าจ็อบส์เป็นผู้ที่มีสัญชาตญาณในงานที่เขาทำอย่างน่าทึ่ง

ที่มา: businessinsider.com

วันพุธที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ถั่วลิสง ถั่วลาย ประโยชน์ที่เราไม่เคยรู้


       สวัสดีตอนเช้าๆ ค่ะเพื่อนๆชาวไอหมอก วันนี้ตื่นมาไอหมอกก็รู้สึกชักอยากกินถั่วลิสงขึ้นมาซะอย่างงั้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเนอะ? .. แต่นึกขึ้นได้ว่าทางคุณเทอดศักดิ์ จาก หจก.ภาสว่าง เค้าเอาขนมขบเคี้ยวชื่อ "คั่วกรอบ" มาฝาก แต่วันนี้เป็น "ถั่วลิสง" ค่ะไม่ยักกะรู้ว่าเครือคั่วกรอบจะมีถั่วลิสงด้วย เห็นว่าเค้ามีชื่อเรื่องถั่วเหลืองคั่วกรอบ ป๊อปคอร์นไทยใหญ่ ช้าอยู่ทำไมจัดการให้หมดถุงเลยสิคะ อิอิ หลังจากกินเรียบร้อยแล้วเราก็อยากรู้ว่า ในถั่วลิสงนี้มีประโยชน์อะไรต่อร่างกายบ้าง ไอหมอกจึงนำเอาความรู้เกี่ยวกับถั่วลิสงมาฝากทุกท่านกันค่ะ


       สถิติของวิทยุ BBC บอกว่าอายุเฉลี่ยของผู้ชายไทย 66 ปี ผู้หญิงไทยอายุเฉลี่ย 74 ปี น่าสังเกตว่าผู้ชายไทยใช้ชีวิตเปลืองมาก อาจรวมการตายจากอุบัติเหตุและการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ที่มากเกินไป ซึ่งผู้หญิงก็เสื่องต่อโรคอ้วนมากขึ้น เป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ มีอาการหนักถึงขั้นเส้นเลือดแตก อุ่ย!! ฟังดูแล้วแอบน่ากลัวนะคะ -*-

       จากการศึกษาประโยชน์ของถั่วนานาชนิด จะพบว่าในถั่วเมล็ดแห้งมีไขมันที่ดี ไม่เกาะเส้นเลือด ช่วยลดคลอเลสเตอรอลที่เป็นตัวการทำให้เส้นเลือดตีบ ไม่ต้องห่วงคลอเลสเตอรอลในอาหาร ถ้าอาหารมาจากพืชจะไม่มีคลอเลสเตอรอล อาหารที่มาจากสัตว์มีคลอเลสเตอรอลมากบ้างน้อยบ้าง แต่ไขมันในถั่ว เช่นถั่วลิสง ถั่วเหลือง เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ถั่วปากอ้า เป็นไขมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดที่มีประโยชน์ ที่เดี๋ยวนี้พูดกันสั้น ๆ ว่าโอเมก้า 3 ความจริงเป็นกรดไขมันที่แตกตัวได้ง่าย ที่ตำแหน่งที่ 3 จากท้ายสุดของโมเลกุล กินกรดไขมันพวกนี้แล้วร่างกายไม่สะสมคลอเลสเตอรอลจึงแนะนำกันให้กินถั่วแทนเนื้อสัตว์ในบางมื้อ

       ถั่วเมล็ดแห้งมีไขมันอยู่มาก กินแล้วอิ่มทน มีโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตด้วย จึงเป็นอาหารที่ให้สาร
อาหารหลายชนิด คนที่อายุยืนทั้งหลายมักจะให้สัมภาษณ์ว่า กินถั่วเมล็ดแห้งเป็นประจำ อาจจะกินเป็นเม็ด กินเป็นเต้าหู้ หรือกินถั่วอบกรอบ ฝรั่งกินขนมปังกับเนยถั่วเป็นอาหารหลัก เนยถั่วทำจากถั่วลิสงบดจนเนียนนุ่ม ปรุงรสเค็มเล็กน้อย ทาขนมปังกินได้เร็วเป็นอาหารเช้าหรืออาหารว่าง อิ่มทน อร่อยและมีประโยชน์


       คนไทยกินถั่วลิสงต้ม ถั่วทอด ถั่วลิสงอิ่มนานกว่ากินข้าว ในถั่วลิสงมีน้ำมันมากกว่าในเนื้อสัตว์หลายชนิด เมื่อเติมถั่วลิสงคั่วบดลงในก๋วยเตี๋ยวต้มยำ จะอิ่มมากกว่ากินก๋วยเตี๋ยวธรรมดา ถั่วเหลืองที่ใช้ทำเนื้อเทียมเป็นโปรตีนที่ดีมาก กินถั่วอบ ถั่วคั่ว ถั่วทอด เป็นอาหารว่างทุกวัน ช่วยลดไขมันในเลือด ใช้เป็นอาหารเรียกน้ำย่อยได้ดี ทำให้หิวอาหารน้อยลง กินอาหารอื่นๆน้อยลง ผู้จัดอาหารงานเลี้ยงมักจะมีถั่วทอดเป็นอาหารเรียกน้ำย่อย ถึงแม้ว่าอาหารจะมาช้า แขกยังไม่หิวมาก แขกอิ่มอาหารเร็ว ไม่เปลืองอาหารที่เลี้ยง

       โอ้โห อะไรจะมีคุณประโยชน์ได้มากขนาดนั้น อืมม.. น่าคิดนะคะ แต่ไอหมอกชอบที่เค้าบอกว่า ผู้จัดงานเลี้ยงมันจะนำถั่วทอดมาเป็นอาหารเรียกน้ำย่อย เนื่องจากถั่วทำให้กินอาหารได้น้อยลง ทำให้ไม่เปลือง --> มันเป็นอะไรที่โดนใจนะคะ เดี๋ยวเอาไปใช้มั่ง ^^  แต่การเลือกรับประทานอาหารที่ดี ต้องควบคู่กับการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง และการได้รับอากาศบริสุทธิ์ จึงจะทำให้สุขภาพของทุกท่านแข็งแรงอย่างยั่งยืนนะคะ ด้วยรักและห่วงใย จากใจไอหมอกน๊าาาา :)

ขอบคุณความรู้ดีดีจาก ... horapa.com

วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555

งาโหย่ว-ป๊อปคอร์นไทยใหญ่ สหกรณ์เมืองสามหมอก


       จากการที่เกษตรกรถูกเอารัดเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลางกดขี่เรื่องราคากันมานั้น ทำให้เกษตรกรจึงเกิดไอเดียในการรวมตัวกันเพื่อให้เป็นธุรกิจชุมชนเข้มแข็งขึ้นมากมายหลายกลุ่ม อาทิเช่น กลุ่มวิสาหกิจชุมชน กลุ่มแม่บ้าน และกลุ่มสหกรณ์ เพื่อจับมือกันในการบริหารกิจการท้องถิ่นให้เจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง และก้าวเข้าสู่การเป็นสินค้าเมืองสามหมอกอย่างเต็มประสิทธิภาพและยั่งยืน

       นางดาริณี รณะบุตร ประธานกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรเมืองสามหมอก กล่าวว่า ทางกลุ่มฯ ได้นำงาซึ่งปลูกกันมากในแม่ฮ่องสอนที่มีผลผลิตล้นตลาดทำให้ราคาตกต่ำนำมาแปรรูปเป็นขนมงาหรือในภาษาไทใหญ่เรียกว่า “งาโหย่ว” จากภูมิปัญญาบรรพบุรุษชาวไทใหญ่ ด้วยการนำงาที่คั่วแล้วมาคลุกกับน้ำผึ้งหรือน้ำอ้อยแล้วเคี่ยวในกะทะจนงวด แล้วเทลงในถาดไม้แห้งแล้วจึงตัดขายมานาน ตั้งแต่รุ่นปู่ย่า จนมาถึงตนซึ่งเป็นผู้สืบทอดรุ่นที่ 3 จึงได้เพิ่มรสชาติให้มีความหลากหลายมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค เช่น งาโหย่วน้ำผึ้ง งาโหย่วขิง งาโหย่วตะไคร้ ฯลฯ โดยผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้รับความนิยมจากผู้บริโภคที่รักษ์สุขภาพเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นจึงได้คิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อเพิ่มช่องทางการตลาด โดยนำข้าวโพดสีม่วง หรือข้าวโพดข้าวเหนียวดำ มาคั่วกับเตาถ่านแบบโบราณ โรยด้วยเกลือป่น ทำให้มีกลิ่นหอม กรอบอร่อย จนติดตลาดได้รับความนิยมจากผู้บริโภคอย่างรวดเร็ว ภายใต้แบรนด์ “ป๊อบคอร์นไทยใหญ่”

                                       

       “ป๊อปคอร์นไทยใหญ่ หรือข้าวโพดคั่ว ในพื้นที่หลายคนมองว่าเป็นของกินเล่นสำหรับคนจน แต่จริงๆ แล้วมีคุณประโยชน์มากมาย ทางกลุ่มฯ จึงนำมาแปรรูป โดยมีสหกรณ์แม่ฮ่องสอนเข้ามาช่วยสนับสนุน เราใช้ข้าวโพดพันธุ์ข้าวเหนียวดำ ซึ่งในพื้นที่มีการ ปลูกกันมากเป็นข้าวโพดใหม่แกะเมล็ด ผึ่งแดดให้แห้ง แล้วนำไปแช่น้ำ 1 คืน หลังจากนั้นนำมาคั่วด้วยไฟอ่อนจากเตาถ่าน เสร็จแล้วนำมาพักแล้วโรยด้วยเกลือป่น นำมาใส่ถุงซีนปิดอากาศเพื่อรักษากลิ่นหอมและความกรอบ ก็สามารถนำออกไปจำหน่ายให้กับลูกค้าได้แล้ว”

       กรรมวิธีการผลิตที่ยังคงรูปแบบโบราณ ด้วยการคั่วที่ใช้กระทะกับเตาถ่านนั้น นอกจากเป็นเสน่ห์ของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวแล้ว ยังช่วยให้มีป๊อปคอร์นของกลุ่มฯ มีกลิ่นหอม ต้นทุนการผลิตไม่สูง หลังทดลองเปิดตลาดแล้วกลุ่มผู้บริโภคให้การตอบรับเป็นอย่างมาก จากข้าวโพด 1 ลิตร ประมาณ 20 ฝัก เดิมขายราคาฝักละ 1 บาท สามารถนำมาทำป๊อปคอร์นได้ 50 ถุง ขายในราคาถุงละ 40 บาท ส่งขายทั้งในแม่ฮ่องสอน, เชียงใหม่, กรุงเทพฯ ทั้งตลาด อตก.จตุจักร, งานแสดงสินค้าเมืองทองธานี, ศูนย์ศิลปะชีพ 904 โครงการสายใยรักแห่งครอบครัว รวมทั้งผู้บริโภคจากภาคใต้ที่นิยมสั่ง เช่น ยะลา นราธิวาส เป็นต้น

       สหกรณ์เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตและชุมชน เมื่อสมาชิกมีความสามัคคีร่วมมือร่วมใจช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับกลุ่มฯ และคนชุมชนให้อยู่ได้ โดยไม่ต้องถูกเอารัดเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลางอีกต่อไป

ขอบคุณข้อมูลจาก .. หนังสือพิมพ์บ้านเมือง

ภาวะผู้นำแบบติดดิน 8


       วันนี้ก็เดินทางมาถึงตอนสุดท้ายของภาวะแบบติดดินในแบบของ กัปตันเรือ D.Michael Abrashoff กันแล้ว กับเทคนิคในการบริหารลูกน้องอย่างเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพ แต่อย่างไรเสีย ไอหมอกก็จะพยายามสรรหาบทความดีดีแบบนี้มาให้ทุกท่านได้อ่านกันอย่างต่อเนื่อง ไม่มีหยุดเลยล่ะค่ะ ขอเพียงแค่ทุกท่านอย่าทิ้งไอหมอกไปไหนก็แล้วกัน ไม่งั้นมีเคืองนะคะ อิอิ .. อ่ะ ไปดูกันอีกสักนิดว่า แนวคิดจาก กัปตันเรือ D.Michael Abrashoff  ข้อสุดท้ายที่ท่านแนะนำมาคืออะไร


** การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงมีความยั่งยืน **

       เรือหลายๆลำในกองทัพมีลักษณะไปในทางเดียวกันกับผู้บังคับบัญชาของพวกเขา แต่ผลและลูกเรือของผมไม่ห่วงเรื่องที่ผมจะย้ายไปประจำการที่อื่น เราได้ช่วยกันสร้างวงจรของการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงขึ้นมา มันทำให้ทุกคนรู้ว่าความทุ่มเทของเขามีผล ลูกเรือกลุ่มนี้สร้างผลงานที่ดีเยี่ยม และยังมีกำลังใจที่จะทำให้มันดียิ่งขึ้นอีก ทัศนคติของผมเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ เมื่อคุณเริ่มต้นการปฏิวัติสังคมขึ้นมาแล้ว คุณไม่สามารถหยุดมันได้อีกต่อไป ทุกคนบนเรือรู้ว่าพวกเขามีส่วนร่วมเป็นเจ้าขององค์กรนี้ เขารู้ว่าเขาจะได้อะไรถ้าเขาช่วยเหลือกันอย่างเต็มที่ เขามีความกล้าหาญที่จะยกมือขึ้นแสดงความคิดเห็นของเขา มันไม่สามารถเปลี่ยนกลับมาเป็นอย่างเก่าได้อีกแล้ว


ข้อสังเกต

       ในสงครามอ่าวเปอร์เซีย เรือ Banfold ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติภารกิจสำคัญมากมาย เพราะว่ามีข้อมูลการฝึกและผลงานการใช้อาวุธเป็นเยี่ยม และยังมีขวัญและกำลังใจสูงสุด Abrashoff พูดถึงหลักการที่ทำให้เขาประสบผลสำเร็จในการเป็นผู้นำดังนี้

1.คุยกับลูกเรือของคุณ
       ลูกเรือบนเรือ Benfold  รู้ว่าเมื่อใดที่เขาอยากจะบอกอะไร และ Abrashoff ก็พร้อมจะรับฟังพวกเขา ตั้งแต่การสัมภาษณ์ลูกเรือใหม่จนถึงการตรวจสอบคุณภาพอาหาร ผู้บัญชาการเรือลำนี้จะพยายามหาข้อมูลใหม่ๆ เกี่ยวกับคนของเขาอย่างสม่ำเสมอ เขารู้ว่าลูกเรือของเขามีปัญหาเกี่ยวกับหนี้สินอันเกิดจากบัตรเครดิต เขาจึงจัดให้มีผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการบริหารเงินมาให้คำแนะนำต่อลูกเรือ

2.อย่าหยุดที่ระเบียบการปฏิบัติงานมาตรฐาน
       เรื่อทั่วๆไปจะยึดกับระเบียบการมาตรฐาน ลูกเรือ Benfold จะไม่ยึดติดกับมันโดยไม่มีเหตุผล เพราะกัปตันของเขาจะถามอยู่บ่อยๆว่า “ทำไม?” เขาสันนิษฐานอยู่เสมอว่า มันน่าจะมีวิธีที่ดีกว่านี้ และทัศนคตินี้ค่อยๆ ซึมซับลงไปในระดับล่างๆ ด้วย

3.อย่ารอจนสถานการณ์คับขันแล้วจึงค่อยบอก
       การรับฟังคนอื่นเป็นเรื่องสำคัญ แต่การแสดงออกว่าคุณได้ยินสิ่งที่เขาพูดยิ่งสำคัญพอๆกัน Abrashoff มักจะพูดถึงสิ่งที่เขาคิดออกทางระบบกระจายเสียงประจำเรือ ลูกเรือของเขาสามารถเสนอความคิดเห็นอย่างหนึ่ง และทำให้มันเป็นจริงขึ้นมาในสัปดาห์ถัดไป ครั้งหนึ่งลูกเรือบอกกับเขาว่ามีปัญหาในการฝึกซ้อมการยิงปืบนบก เพราะสนามยิงปืนมีคนแน่นเกินไป ลูกเรือจึงเสนอกับเขาว่าน่าจะฝึกยิงปืนกันในช่วงที่ออกทะเล Abrashoff เห็นด้วยกับลูกเรือคนนั้นและจัดการทำมันทันที

4.เสริมสร้างคุณค่าคุณภาพชีวิต
       เรือ Benfold มีศิลปะในการสร้างขวัญและกำลังใจอย่างสูง Abrashoff จัดให้มีชั่วโมงคาราโอเกะบนเรือ หลังจากนั้นลูกเรือก็จัดให้มีการฉายวิดีโอเพลงโดยใช้ลำตัวเรือเป็นจอ นอกจากนนี้ยังมีการปลอมตัวเลียนแบบเอลวิส และร้องเพลง Blue Christmas ในช่วงเทศกาล ผลของมันก็คือ ในขณะที่เรือลำอื่นๆขาดแคลนกะลาสี เรือ Benfold กลับมีคนขอมาประจำการอย่างล้นหลาม

5.ผู้นำแบบติดดินไม่ได้แสวงหาการเลื่อนตำแหน่ง
       Abrashoff บอกว่าเขาไม่ได้พยายามทำงานเพื่อการเลื่อนตำแหน่ง ซึ่งทำให้เขาหลุดพ้นจากแรงกดดันที่คนทั่วๆไปมี ดังนั้นเขาจึงมีสมาธิที่จะมุ่งมั่นด้วยวิธีทำงานของเขา ผมไม่สนใจกับการเลื่อนตำแหน่ง มันทำให้ผมทำสิ่งที่ถูกต้องให้กบคนของผมได้ไม่เต็มที่ แต่การคิดและทำเช่นนี้ทำให้เขาได้รับการประเมินผลดีเยี่ยม และได้รับการแต่งตั้งไปสู่ตำแหน่งที่ดีมากในศูนย์ควบคุมยุทธการอวกาศและยุทธนาวี

ขอบคุณความรู้และแนวคิดที่ดีจาก .. PacRim Group และเครือธนาคารทหารไทย

วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555

ภาวะผู้นำแบบติดดิน 7

       ผู้นำติดดินในแบบของกัปตันเรือ D.Michael Abrashoff  ได้รับความสนใจติดตามจากท่านผู้อ่านหลายท่านเลยค่ะ เป็นอะไรที่ทำให้ไอหมอกมีกำลังใจอยากที่จะหาเรื่องราวดีดีมาแบ่งปันให้ทุกท่านได้อ่านกันอย่างต่อเนื่อง ^^ เอาล่ะ วันนี้มาพูดถึงหลักการข้อสำคัญอีกข้อหนึ่งที่ถือเป็นการบริหารแบบ 2 Ways คือต้องได้รับการตอบสนอง และได้รับรู้ถึงความรัก ความทุ่มเทจากลูกน้องด้วยอีกทางหนึ่ง การบริหารงานจึงจะประสบผลสำเร็จอบ่างเต็มเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพ


** ลูกเรือที่ประสบความสำเร็จอุทิศตัวเองทำงานอย่างเต็มที่ **

       ในการประชุมผู้บังคับการเรือเมื่อไม่นานมานี้ คนส่วนมากบอกว่าการที่เราให้ความสนใจกับคุณภาพชีวิตบนเรือจะทำให้มีผลเสียหายต่อพันธกิจของเรา ผมคิดว่ามันเป็นความคิดที่ไม่เข้าท่า เราปฏิบัติต่อลูกเรือเหมือนกับว่าเขาไม่มีคุณค่าอะไร กองทัพเรือขาดคนที่ต้องการอยู่ 7,000 คน จากเป้าหมายจำนวน 52,000 คนในปี 1998 และในปี 1999 เราจะขาดคนประมาณ 12,000 คน ในทุกๆหน่วยของกองทัพ ทหารประมาณ 1 ใน 3 ไม่อยู่ครบเวลาเกณฑ์ เราต้องหาเหตุผลที่ดีให้เขามาสมัครและอยู่กับเรา ผู้นำมีหน้าที่ต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้คนสามารถทำงานได้ดี และอยากทำงานให้ได้ดี ผมสังเกตดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับลูกเรืออายุ 18-19 ปีของผมเมื่อเขามารายงานตัว เขามาถึงเย็นวันศุกร์จากศูนย์ปฏิบัติการ เขารู้สึกหวาดกลัวและขาดเพื่อน เขาเก็บข้าวของของเขาและเริ่มต้นหลงทางใน San Diego เราเปลี่ยนมันเสียใหม่ เราวางแผนต้อนรับพวกเขาเมื่อพวกเขามาถึง เขาเจอว่าที่พักถูกจัดเตรียมไว้ในเขา มีคนคอยเป็นพี่เลี้ยงและคอยพาเขาไปรู้จักสถานที่ต่างๆ เขาสามารถโทรกลับบ้านได้โดยผมเป็นคนจ่ายเงิน เพื่อที่จะได้บอกกับคนทางบ้านว่าเขามาถึงเรียบร้อยแล้ว

       ปัญหาอีกอย่างที่เราเจอคือ เรื่องของการพักผ่อนหย่อนใจของลูกเรือ เมื่อคราวที่เราไปเทียบท่าที่ดูไบ ซึ่งเป็นท่าที่เปิดเสรีกว่าท่าอื่นๆ ในอ่าวเปอร์เซีย ลูกเรือคนหนึ่งของผมบอกกับผมว่าพวกเขาหงุดหงิดมากกับคนขับรถบัสซึ่งไม่รู้ภาษาอังกฤษ และไม่ยอมออกนอกเส้นทางเลย ผมสั่งให้เช่ารถตู้ 2-3 คันทันที แล้วแบ่งลูกเรือเป็นกลุ่มย่อยๆ และให้ลูกเรืออาวุโสเป็นผู้ดูแลลูกเรืออื่นๆในรถแต่ละคัน
สิ่งที่ผมทำนี้มิใช่ว่าจะถูกต้องตามกฎระเบียบจริงๆ แต่มันมีเหตุผลจนกลายเป็นสิ่งที่เรือทุกลำในอ่าวทำตาม อีกเรื่องที่สำคัญกว่าก็คือ ปัญหาที่พวกเขาต้องจากครอบครัว เรือเกือบทุกลำจะมีรายงานเรื่องปัญหาครอบครัวระหว่างที่ออกทะเลเสมอ และปัญหาส่วนมากมาจากการขาดการติดต่อสื่อสารกัน ผมเลยสร้างระบบจัดการส่งข้อความผ่านดาวเทียม ซึ่งลูกเรือของผมสามารถใช้มันได้ทุกวัน ด้วยวิธีนี้พวกเขาสามารถติดต่อกับครอบครัว มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และมีความสงบในใจมากขึ้น

       เมื่อเรือเทียบท่า ลูกเรือจะหงุดหงิดใจจากการที่ต้องอยู่เวรยามบนเรือ เราแบ่งลูกเรืออกเป็น 4 กอง เขาจะหมุนเวียนกันอยู่เวรบนเรือตลอด 24 ชม. และมีโอกาสว่างช่วงสุดสัปดาห์แค่เดือนละ 1 ครั้ง ผมทำระบบการแบ่งเป็น 8 กองมาใช้ ซึ่งช่วยให้เขาสามารถหยุดในช่วงสุดสัปดาห์ได้เดือนละ 2 ครั้ง ผมยังฝึกให้ลูกเรือทำงานได้หลากหลายมากยิ่งขึ้น เพื่อให้เขาสามารถทดแทนกันได้ ระบบทำงานดีมากจนเรืออีกหลายๆ ลำนำไปใช้ต่อบนเรือของพวกเขา


       การเสริมสร้างคุณภาพชีวิต ไม่มีอะไรมากไปกว่าการให้ความสนใจว่าอะไรคือสาเหตุของความไม่พอใจของลูกเรือ คุณต้องพยายามกำจัดสิ่งเหล่านี้พร้อมๆกับการเพิ่มเติมสิ่งที่เขาพอใจ อาจเป็นสิ่งง่ายๆ เช่น การเข้าใจว่าคนส่วนมากชอบเสียงเพลง และจัดให้มีระบบเสียงที่ดี หรือการมีเครื่องคาราโอเกะ คุณภาพชีวิตยังหมายถึงการปฏิบัติต่อทุกคนด้วยความเคารพและให้เกียรติ เรือ Benfold มีความพร้อมที่จะรับกะลาสีเรือหญิงได้ เรารู้กันวาในกองทัพมีการละเมิดสิทธิสตรีและความลำเอียงต่อผู้หญิง แต่เมื่อเราสำรวจผลเรื่องนี้ เราแปลกใจกับมันมาก มีปัญหาเรื่องสิทธิสตรีและการเหยียดสีผิวเพียงแค่ 3% บนเรือของเรา

       ผลงานพวกนี้ไม่ได้เกิดมาจากการอบรมสั่งสอนของผมต่อพวกเขา แต่มันมาจากการที่ผมคุยถึงการสร้างสังคมที่ดีและการทำงานเป็นทีมในเรือของเรา ด้วยความห่วงใยเท่าเทียมกับที่ผมห่วงการดูแลยุทโธปกรณ์บนเรือของเรา

ขอบคุณความรู้และแนวคิดที่ดีจาก .. PacRim Group และเครือธนาคารทหารไทย

วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2555

ภาวะผู้นำแบบติดดิน 6


       จากการนำเสนอตอนที่ 5 ไปแล้ว ไอหมอกก็เริ่มอดใจไม่ไหว ขอนำเสนอตอนที่ 6 ต่อเลยนะคะ แบบว่าตามประสาวัยรุ่นใจร้อน และค่อนข้างชื่นชอบวิธีการบริหารงานของท่านกัปตัน D.Michael Abrashoff  มากไม่รู้เป็นเพราะอะไร แต่สิ่งที่ไอหมอกคิดอยู่เสมอว่า การที่ผู้นำจะนั่งในใจลูกน้องได้อย่างยั่งยืนนั้น ต้องเข้าใจความเป็นธรรมชาติให้มากที่สุด เชื่อว่าหลายๆท่านคงเห็นไม่ต่างกับไอหมอกว่า ความสุขที่แท้จริง คือการกลับสู่ความเป็นธรรมชาติที่เราเคยได้รับมา ความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการดำเนินชีวิต เกิดจากความสุขที่มีมูลค่าทางการเงินที่ต่ำที่สุด อืมมม ประเด็นนี้ไม่รู้ว่าเข้ามาเกี่ยวกับตอนที่ 6 ยังไง แต่ไม่เป็นไรมันเป็นแค่ความคิดเห็นที่อยากสื่อสารไปเท่านั้นค่ะ แหะๆ ^^ เอาเป็นว่า ไปศึกษาหลักการข้อต่อไปกันเลยดีกว่าค่ะ ก่อนที่ไอหมอกจะพาทุกท่านออกนอกเรื่องไปมากกว่านี้ :))


** กัปตันที่ดีมอบหมายความรับผิดชอบ แทนที่จะเป็นคำสั่ง **

       บริษัททั่วๆไป จะมุ่งกับเรื่องที่พนักงานลาออก และในเรือก็เช่นกัน นอกเหนือจากสาเหตุอื่นๆ แล้วจะมีการโยกย้ายลูกเรือประมาณ 35% ทุกๆปี ซึ่งแปลว่าผมต้องเป็นผู้ชำนาญการในการสร้างลูกเรือขึ้นมาทดแทนหลังจากที่ผมจัดการกับเรื่องอาหารในเรือแล้ว สิ่งที่ผมให้ความสำคัญต่อไปก็คือ การพัฒนา การฝึกฝนลูกเรือ พวกเขาถูกสถานการณ์บังคับให้ตัดสินใจเรื่องความเป็นความตายอยู่บ่อยๆ

       นอกจากฝึกฝนคนใหม่ๆแล้ว ผมยังต้องเตรียมลูกเรือที่มีอาวุโสกว่าให้เป็นผู้นำด้วย ถ้าหากคุณเคยชินอยู่กับการออกคำสั่ง คุณก็จะได้แต่ผู้ที่เคยชินกับการรับคำสั่ง เราอยากได้คนที่ตัดสินใจได้ดี ไม่ใช่แค่ทำตามคู่มือลูกเดียว ซึ่งแปลว่าเราต้องเปิดโอกาสให้คนได้เรียนรู้ เราเอาเวลาที่เราประหยัดได้จากการเลิกทำสิ่งที่ไม่มีความสำคัญ เช่น การขัดสนิมเรือ การทาสี การทำความสะอาด มาใช้เรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ ในศูนย์บัญชาการรบ และฝึกอบรมระบบคอมพิวเตอร์ของเรา

       และเรามุ่งเน้นกับการพัฒนาผลงานมากกว่ารูปแบบ เราจึงสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ในทุกสถานการณ์ เมื่อเกิดความผิดพลาดขึ้น เราจะไม่เป็นห่วงจนเกินไปว่ามันจะทำให้เราเสียหน้า ผมไม่ห่วงในเรื่องการเลื่อนขั้น ผมจึงสามารถปล่อยให้ลูกเรือใช้เวลาในการเรียนรู้การแก้ไขปัญหาได้โดยไม่สนใจว่าจะมีนายพลบางคนมาเจอปัญหาที่มีเข้าหรือไม่

SPAWAR team ensures USS Benfold Networks are fine-tuned and operational

       ผลของสิ่งต่างๆเหล่านี้คือ เรามีทีมลูกเรือที่เรียนรู้ได้เร็วที่สุด และพวกเขาถูกเลื่อนขั้นอย่างรวดเร็วเป็น 2 เท่าของสถิติมาตรฐานของกองทัพเรือ ผมเลื่อนขั้นลูกเรือไปถึง 86 คน ทำให้ลูกเรือหนึ่งในสามของเรือผมเจอกับการเปลี่ยนแปลง และความภาคภูมิใจในตัวเองอย่างมากมาย


ขอบคุณความรู้และแนวคิดที่ดีจาก .. PacRim Group และเครือธนาคารทหารไทย

ภาวะผู้นำแบบติดดิน 5


       ภาวะผู้นำแบบติดดินตอนที่ 5 นี้ ไอหมอกมีหลักการในการบริหารงานของ ผู้บัญชาการเรือ Benfold  คนเก่งมาแบ่งปันกันต่อ เพื่อให้ทุกท่านทราบว่า จริงๆแล้วหลักการเหล่านี้เราต่างรู้กันดีว่า เป็นหลักการบริหารที่ง่ายๆ และมักจะได้พบเจอกันบ่อย แต่บางทีเราอาจจะไม่ได้ Focus เท่าที่ควร วันนี้เรามาฟังแนวคิดของ D.Michael Abrashoff  ในเรื่องวินัยกันดีกว่าค่ะ บางทีข้อนี้เราอาจจะปรับมาใช้ในการทำงานได้เลยทันทีก็เป็นไปได้นะคะ


** มีระเบียบวินับแบบง่ายๆ **

       ในหน่วยงานทั่วๆไป เราใช้เวลาและความพยายามมากมายในการสนับสนุนหัวหน้างานระดับสูง ลูกเรือของผมรู้ว่าผมไม่ต้องการมันมากนัก มันสำคัญที่ลูกเรือมากกว่าผมเอง การสัมภาษณ์ตอนเริ่มแรกเป็นเครื่องกำหนดทิศทางได้เป็นอย่างดีภายใต้การบังคับบัญชาของผม ผลงานที่ดีคือเจ้านายตัวจริง นั่นหมายความว่าลูกเรือของผมจะพูดความจริงกับผมแทนที่จะพูดถึงสิ่งที่เขาคิดว่าผมอยากฟัง พวกเขาจะไม่รอจนถึงการตรวจสอบปกติหรือรอคำสั่งให้ทำโน่นนี่ตามสายงานการบังคับบัญชา พวกเขาจะทำมันเลย

       จ่า Jason Michal ซึ่งเป็นหัวหน้าช่างในเรือของผมได้เตรียมตัวสำหรับการตรวจสอบทางวิศวกรรมเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งเป็นการตรวจสอบที่เข้มงวดมาก แต่ผมไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเตรียมตัว จนกระทั่งเขาเชิญผมไปร่วมตรวจสอบงานของเขา ผมตกตะลึงกับสิ่งที่ผมเห็น เขาได้ดัดแปลงการทำงานไปร่วม 40 อย่างโดยใช้เวลาเป็นเดือนๆ กับการทำงานนี้ แน่นอนว่าผลของการตรวจสอบออกมายอดเยี่ยม เมื่อคนที่ทำงานรู้ว่าเขาเป็นคนกำหนดงาน ไม่ใช่คู่มือหรือนโยบาย คุณจะพบว่านวัตกรรมมีอยู่ได้ทุกหนทุกแห่งเลยทีเดียว


       หน้าที่อย่างหนึ่งของเราในสงครามอ่าวเปอร์เซียคือการไปตรวจตราเรือทุกลำเพื่อหาพวกที่แอบซุกซ่อนของต้องห้ามต่างๆ การตรวจตรานี้เป็นเรื่องที่จุกจิกมาก มีรายงานที่ต้องกรอกถึง 4 หน้ากระดาษ ลูกเรือของผมคนหนึ่งสร้างฐานข้อมูลของเรือพวกนี้ไว้ล่วงหน้า ปมให้ฐานข้อมูลนี้กับกัปตันเรืออีกคน เขาอวดมันกับนายพลผู้หนึ่ง ตอนนี้ข้อมูลที่ว่าถูกบรรจุไว้ในปฏิบัติการมาตรฐานสำหรับกองเรือของเรา

       ทั้งหมดนี้ไม่ได้แปลว่าเราละเลยระเบียบวินัยบนเรือ ลูกเรือยังวันทยหัตถ์เวลาที่ผมเดินตรวจตราบนเรือ เขาเคารพต่อตำแหน่งของผม แต่เขารู้ว่าผมไม่สนใจกับเรื่องพวกนี้  ผมชอบของจริง และของจริงคือความพร้อมต่อยุทธนาวี ของจริงคือคนที่รู้สึกดีกับงานที่เขาทำ ของจริงคือการที่เรานับถือและให้เกียรติคนของเรา เราสร้างความก้าวหน้าและประหยัดเงินได้มากมายจากการที่เรามุ่งเน้นความสำคัญไปที่ของจริง แทนที่จะเป็นเรื่องที่ฟุ่มเฟือยไร้สาระ

ขอบคุณความรู้และแนวคิดที่ดีจาก .. PacRim Group และเครือธนาคารทหารไทย

วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2555

ภาวะผู้นำแบบติดดิน 4


       จากที่เมื่อวาน เราได้พูดถึงหลักในการเป็นภาวะผู้นำแบบติดดินข้อแรก ได้แก่  "อย่าสักแต่ออกคำสั่ง ให้มองถึงวัตถุประสงค์ด้วย" จาก ผู้บังคับการเรือ D.Michael Abrashoff ไปเรียบร้อยแล้ว ณ ตอนนี้ไอหมอกก็นำหลักข้อที่ 2 มาแบ่งปันให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันต่อกับหัวข้อ "ผู้นำฟังโดยไม่มีอคติ" หวังว่าทุกท่านคงได้ความรู้เพิ่มเติม ไม่มากก็น้อยนะคะ ^^


**ผู้นำฟังโดยไม่มีอคติ**

       คนทั่วไปอยู่ในลักษณะของ “ผู้ส่งต่อ” หมายความว่าเขาไม่ค่อย “รับรู้” มากนัก น่าอัศจรรย์มากเมื่อคุณเริ่มฟังพวกเขา เมื่อผมเริ่มงานเป็นผู้บัญชาการเรือ Benfold ผมมีปัญหาเรื่องหารจำชื่อลูกเรือ ผมตัดสินใจคุยกัลป์ลูกเรือ 5 คนทุกๆวันร่วมกับต้นเรือ Bob Scheeler ซึ่งเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งในเรือ Benfold และผมจะถามคำถามง่ายๆ 3 ข้อคือ คุณชอบอะไรมากที่สุด? คุณไม่ชอบอะไรมากที่สุด? คุณอยากจะเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง? ลูกเรือส่วนมากไม่เคยเข้ามาในห้องของกัปตันมาก่อน แต่เมื่อพวกเขาเห็นว่าผมจริงใจ พวกเขาก็เริ่มให้ข้อเสนอแนะที่ทำให้ชีวิตง่ายขึ้นเรือ และยังทำให้เรามีความพร้อมเพรียงต่อยุทธนาวีมากขึ้นด้วย

       จากการคุยกับลูกเรือนี้เอง ผมสร้างรายการรวบรวมงานที่เราทำกันบนเรือ และแบ่งมันเป็นงานที่ไม่สร้างประโยชน์กับงานที่สำคัญต่อพันธกิจ ผมจัดการกับสิ่งที่ทำลายขวัญและกำลังใจที่สุดก่อน เช่น การขัดสนิมและการทาสี อันที่จริงเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับกลาสีทุกคน ทุกๆ 2-3 เดือนลูกเรือหนุ่มสาวของผมจะใช้เวลาทั้งวันทุกๆวันขัดสนิม และทาสีเรือใหม่ นี่เป็นงานที่สิ้นเปลืองเวลามาก และพวกเขาเป็นกลุ่มคนที่ผมอยากจะเข้าถึงให้มากที่สุด เมื่อเราศึกษาดูอย่างละเอียดก็พบว่า ชิ้นส่วนมากมายบนดาดฟ้าเรือทำมาจากเหล็กธรรมดา ซึ่งแน่นอนว่ามันก็จะขึ้นสนิม ผมจึงเปลี่ยนมันเป็นแสตนเลส นอกจากนี้ผมยังพบว่ามีบริษัทที่รับอบสีและพ่นสีส่วนต่างๆ ซึ่งช่วยให้มันไม่ค่อยเป็นสนิมได้ เขาคิดราคาผมแค่ $25,000 และมันจะใช้ได้ต่อไปอีกถึง 30 ปี ลูกเรือผมไม่ต้องจับแปลงทาสีอีกเลยหลังจากนั้น เขามีเวลาเตรียมงานของเขามากขึ้น และผลที่ได้ก็คือ คะแนนความพร้อมรบของเราสูงขึ้นอย่างเหลือเชื่อ


       ผมทำมากกว่าแค่จำชื่อลูกเรือ ผมรู้ว่าพวกเขามากจากไหน ผมรู้เรื่องครอบครัวของพวกเขาบ้าง ผมรู้ว่าเขาอยากได้อะไรในชีวิต หลายคนบอกกับผมว่าอยากเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย แต่พวกเขาไม่มีโอกาสได้ไปสอบ SAT ผมจึงให้เขาลงชื่อว่าใครอยากสอบบ้าง ลูกเรือ 45 คนแจ้งความประสงค์ ผมจึงประสานงานให้ผู้คุมสอบมาจัดการสอบบนเรือให้กับลูกเรือของผม มันเป็นเรื่องไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย แต่ได้ขวัญและกำลังใจอย่างมหาศาล

       จากข้อนี้ ทุกท่านคงจะเห็นด้วยกับไอหมอกอยู่ประเด็นหนึ่งที่ว่า "หากครั้งใดที่ผู้นำฟังโดยมีกำแพงกั้น ครั้งนั้นคุณก็จะไม่ได้รับฟังเรื่องที่เป็นความจริง" หากเราฟังแบบมีอคติ อย่างไรเสีย คุณก็ต้องการได้ยินเฉพาะสิ่งที่ตนเองคิดว่าถูก สิ่งที่ตนเองคิดว่ามันควรเป็นอย่างนั้น ซึ่งแท้ที่จริงแล้วมันไม่ใช่ความจริงเอาซะเลย วันนี้ท่านผู้นำทุกท่าน เข้าถึงหัวจิตหัวใจของลูกน้องคนสนิทของท่านแล้วหรือยังคะ? :))

ขอบคุณความรู้และแนวคิดที่ดีจาก .. PacRim Group และเครือธนาคารทหารไทย

วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2555

ภาวะผู้นำแบบติดดิน 3


       ล่าสุดเมื่อกล่าวถึงแนวคิดของผู้นำอย่าง ผู้บังคับการเรือ D.Michael Abrashoff ไปแล้ว วันนี้เรามาดูกันว่า ประเด็นหลักที่สำคัญ 6 ประการที่เค้าใช้ในการบริหารงานอย่างมีประสิทธิภาพมีอะไรบ้าง ไปดูกันค่ะ


       Abrashoff เล่าให้ fast Company ฟังถึงหลัก 6 ประการที่เขาใช้ในการทำเรือ Benfold เป็นตัวอย่างของภาวะผู้นำแบบติดดินของเขา ดังนี้

**อย่าสักแต่ออกคำสั่ง ให้มองถึงวัตถุประสงค์ด้วย**

       Benfold เป็นเรือรบ ผลงานของเราวัดกันที่ความพร้อมในการทำยุทธนาวี ไม่ใช่เรื่องของอุปกรณ์เพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงการฝึกฝนและการจัดการด้วย กองทัพคือองค์กรของคนหนุ่มสาว หลายๆคนเข้ามาเป็นทหารเพื่อหนีจากปัญหาทางบ้าน บางคนก็เคยติดยามาก่อน บางคนก็เคยเป็นหัวขโมย ถึงแม้คนพวกนี้จะรู้ว่าสิ่งใดที่พวกเขาไม่ต้องการ แต่พวกเขาก็ไม่รู้ว่าเป้าหมายที่ต้องการคืออะไร เพราะฉะนั้นการที่จะทำให้พวกเขาอุทิศตัวเองอย่างเต็มที่ในภารกิจที่เป็นเรื่องคอขาดบาดตายมิได้ทำกันได้แค่จากการฝึกฝนและระเบียบวินัย แต่มันอยู่ที่การรู้จักและเข้าใจพื้นฐานของพวกเขา และการเชื่อมโยงความรู้และเป้าประสงค์เข้าด้วยกัน

ภายใน 2 วันหลังจากมีลูกเรือใหม่เข้ามาประจำการ ผมจะคุยกับพวกเขาสองต่อสองเพื่อพยายามทำความรู้จักพวกเขาให้มากที่สุด ทำไมเขาถึงมาเป็นทหารเรือ? ครอบครัวของเขาเป็นอย่างไร? เขามีเป้าหมายอะไรในการมาเป็นทหารเรือ? เขาต้องการอะไรหลังจากนี้? ผมจะช่วยเขาไปสู่อนาคตที่เขาต้องการได้อย่างไร? สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ผมถือว่านี่เป็นหน้าที่ของผมในการปรับปรุงสังคมเล็กๆ ที่ประกอบไปด้วยคน 300 คนในเรือของผม ซึ่งสำคัญพอๆกับการทำให้เรือของผม มีความพร้อมเพรียงในการเข้าปฏิบัติการอยู่เสมอ


       สิ่งที่ผู้บังคับการเรือ D.Michael Abrashoff ได้ทำนั่นคือ ความเข้าใจในตัวตนของลูกน้องแต่ละคนอย่างถ่องแท้ ใส่ใจในรายละเอียดส่วนลึกของแต่ละบุคคล และเข้าถึงภาวะจิตใจที่แท้จริงของลูกน้องว่า แท้ที่จริงแล้ว ลูกเรือของเขาต้องการสิ่งไหนเข้ามาเติมเต็มในชีวิต และส่วนไหนที่เค้าจะสามารถเติมเต็มให้ลูกเรือของเค้าได้ เค้าจะลงมือทำทันที โดยไม่ต้องคิดว่าคุ้มหรือไม่ที่ตัดสินใจทำไปแบบนั้น นั่นคือหลักประการแรก ที่ทำให้เค้าครองใจลูกน้องทุกคนอย่างดีเยี่ยม

ขอบคุณความรู้และแนวคิดที่ดีจาก .. PacRim Group และเครือธนาคารทหารไทย

วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2555

ภาวะผู้นำแบบติดดิน 2


       หลังจากที่ไอหมอก ได้แบ่งปันเรื่อง "ภาวะผู้นำแบบติดดิน ตอนที่ 1" ไปเรียบแล้วแล้ว ปรากฎว่าได้รับการตอบรับจากผู้อ่านค่อนข้างดีเลยทีเดียว วันนี้ไอหมอกก็เลยไม่พลาดที่จะนำเอาแนวคิดของ  กัปตัน D.Michael Abrashoff มานำเสนอให้กับทุกท่านได้อ่านกันอย่างต่อเนื่องกับแนวคิดดีดีกันแบบนี้ เรามาดูกันว่า ทำไม?  กัปตัน D.Michael Abrashoff ถึงได้เข้าไปนั่งอยู่ในหัวใจของลูกน้องทุกคนกันค่ะ


       แนวคิดประการที่สองเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงคือ ยิ่งคนมีความสุขกับกระบวนการทำงานเท่าไหร่ ผลงานก็จะดีขึ้นเท่านั้น การใช้ชีวิตอยู่กลางทะเลตลอด 35 วันในอ่าวเปอร์เซียไม่ใช่สิ่งน่ารื่นรมย์เลย แต่ Abrashoff ใช้พันธกิจของพวกเขานำทาง และมีความสนุกสนานกับการทำงาน ในเดือนตุลาคม ปี 1997 มีการประกวดการแกะสลักฟักทองในกองเรือ โดยมีเรือ Benfold เป็นเจ้าภาพ ในระหว่างการเติมน้ำมันในทะเล ลูกเรือ Benfold จะฉายมิวสิควิดีโอที่ด้านข้างเรือของพวกเขาในช่วงคริสมาสต์ที่มีการแสดงร้องเพลงเลียนแบบเอลวิสโดยลูกเรือคนหนึ่ง

       Abrashoff เรียนรู้เรื่องการใช้ประโยชน์จากระเบียบปฏิบัติในช่วงที่เขาทำงานเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีกลาโหมให้กับ William Perry ในปี 1994 เขาช่วย Perry ตรวจสอบโครงการปรับปรุงการจัดซื้อของกระทรวงกลาโหม เขานำสิ่งที่เขาเรียนมาใช้ในเรือของเขา เรือ Benfold ซื้ออาหารที่ใช้ในเรือได้ถูกกว่าอาหารที่เขาอาจซื้อได้จากกองทัพเรือ ด้วยเงินที่เขาสามารถประหยัดได้ เขาส่งลูกเรือ 5 คนไปเข้าเรียนการทำอาหาร และทำให้เรือ Benfold เป็นที่ที่มีแต่คนอยากมากินข้าวบนเรือมากที่สุดในอ่าว

       การนำของ Abrashoff ก่อให้เกิดผลดีทั้งในเรื่องการเงินและงาน ในปีงบประมาณ 1998 เรือ Benfold คืนงบประมาณ $600,000 จากงบบำรุงรักษามาทั้งหมด $2.4 ล้าน และคืนอีก $800,000 จากงบซ่อมแซม $3 ล้าน ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเนื่องจากคนของเขาต้องการทำงานให้ดี มิใช่ต้องการจะประหยัด ปีงบประมาณของเรือ Benfold ถูกตัดลงทันที $600,000 แต่ Abrashoff ก็ยังสามารถคืนกลับไปให้กองทัพเรือได้อีก 10%


       ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง เรือ Benfold ก็สร้างผลงานที่ดีเยี่ยม เรือของเขาได้คะแนนเป็นอันดับ 1 ในเรื่องของการลดความผิดพลาดของเครื่องมือ และเรื่องของการใช้เรือ ลูกเรือของเขาผ่านการฝึกก่อนออกปฏิบัติการได้อย่างรวดเร็วอย่างไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน โดยทั่วไปการฝึกนี้กินเวลา 22 วันที่ท่าเรือ และ 30 วันในทะเล ลูกเรือ Benfold ใช้เวลา 5 วันในท่า และ 14 วันในทะเลเท่านั้น ทำให้พวกเขามีเวลาพักผ่อนบนฝั่งมากขึ้น

       ผลงานโดดเด่นอีกประการคือ การรักษาลูกเรือเอาไว้ เรือ Benfold มีผลงานดีเหลือเชื่อ โดยเฉลี่ยแล้วลูกเรือเพียงแค่ 54% เท่านั้นที่ยังอยู่กับเรือหลังจากออกทะเลไป 2 ครั้ง แต่ลูกเรือของ Benfold ทั้ง 100% ต้องการอยู่ต่อ ถ้าคิดคร่าวๆ ว่าค่าใช้จ่ายในการคัดสรรและฝึกฝนมีต้นทุนประมาณ $100,000 ต่อทหารเรือ 1 คน นั่นหมายความว่า Abrashoff ประหยัดเงินให้กองทัพเรือได้ถึง $1.6 ล้านโดยประมาณในปี 1998

       สิ่งที่สำคัญที่สุดในความสำเร็จของ Abrashoff น่าจะเป็นความร่วมมือกันอย่างยอดเยี่ยมภายในเรือ Benfold ลูกเรือไม่ว่าเก่าหรือใหม่ต่างชื่นชมในบรรยากาศของความมีระเบียบแบบสบายๆ บนเรือ รวมทั้งความคิดสร้างสรรค์และความภาคภูมิใจในผลงาน

ขอบคุณความรู้และแนวคิดที่ดีจาก .. PacRim Group และเครือธนาคารทหารไทย

วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2555

ภาวะผู้นำแบบติดดิน 1

       วันนี้ไอหมอกได้ไปอ่านเจอบทความอยู่บทความหนึ่ง เกี่ยวกับเทคนิคในการบริหารงาน และการวางรากฐานแนวคิดของบุคคลผู้หนึ่ง ซึ่งขึ้นเชื่อว่ามีความสามารถในการครองใจลูกน้องได้อย่างดีเยี่ยม อย่าง กัปตัน D.Michael Abrashoff   ซึ่งถ้าพูดถึง ผู้บัญชาการทหารเรือ หลายๆท่านคงนึกเป็นแนวทางเดียวกันว่า ต้องเป็นนายทหารเรือที่เข้มงวดเอาเรื่อง แต่ความจริงแล้วเป็นบุคคลคนที่จะทำให้หลายๆท่าน ทึ่งกับความเป็นกันเอง และใบหน้าที่ยิ้มแย้มไปด้วยความสุขของเขานั้นเอง

       จากเนื้อหาดังกล่าว เป็นบทความที่ค่อนข้างยาว ไอหมอกจะแบ่งเป็นตอนๆ ให้เพื่อนๆได้ติดตามกันนะคะ ขออกตัวก่อนเลยว่า ทุกประโยคที่นำมาแบ่งปัน ไม่ได้ผ่านการดัดแปลงเนื้อหา หรือประโยคใดๆทั้งสิ้นค่ะ เมื่อจนบทความดีดีก็อยากแบ่งปัน ไปดูกันค่ะว่า "ภาวะผู้นำแบบติดดิน" คืออะไร ยังไง และสามารถนำมาปรับใช้ได้ยังไงกับเรื่องธุรกิจ เรามาเริ่มที่ตอนแรกกันกับ แนวคิดประการแรกของการเปลี่ยนแปลงจาก กัปตัน D.Michael Abrashoff  กันเลยค่ะ


       คุณจะต้องทึ่งกับภาพที่คุณเห็นบนดาดฟ้าของเรือหลวง Benfold มูลค่าหนึ่งพันล้านเหรียญลำนี้ ซึ่งเป็นเรือที่ทันสมัย และมีอานุภาพในการประจัญบานสูงสุด มันหนักถึง 8,300 ตัน และมีระบบการยิงที่ควบคุมโดยคอมพิวเตอร์ มีระบบเรดาห์และจรวดนำวิ๔ที่มันสมัยที่สุด และมีลูกเรือประมาณ 300 คน ในปี 1997 หลังจากที่เข้าประจำการในกองทัพเรือสหรัฐประมาณได้ปีกว่าๆ มันเป็นเรือที่มีบทบาทสำคัญเป็นอย่างยิ่งในสงครามอิรัก เมื่อมันเดินหน้าเต็มฝีจักร เรือจะสร้างคลื่นสูงเทียบเท่ากับตึก 3 ชั้นเลยทีเดียว

       สิ่งที่คุณคงไม่คิดว่าจะเจอบนเรือลำนี้คือ ภาวะผู้นำที่ทันสมัยพอๆ กับที่คุณจะพบได้ในโลกธุรกิจ มันคือภาวะการนำภายใต้กัปตัน D.Michael Abrashoff   ผู้ซึ่งเคยได้รับเหรียญกล้าหาญมากมาย และเคยได้รับตำแหน่งสูงใน Washington DC. เขาทำเรือหลวง Benfold เป็นเรือที่ยอดเยี่ยมที่สุดในกองทัพเรือ คุณคงจะคิดว่า Abrashoff เป็นนายทหารเรือที่เข้มงวดเอาเรื่อง แต่ความจริงแล้วคุณจะพบแต่รอยยิ้มเรียบง่ายบนใบหน้าของเขา

       เบื้องหลังความเป็นกันเองคือ ลักษณะการนำในรูปแบบของเขาเอง ภายในห้องรับรอง Abrashoff ในวัย 38 พักเท้าวางพาดกับโต๊ะ จิบโซดาและบอกว่า “ผมแบ่งคนเป็น 21 พวกใหญ่ๆ คือ พวกที่เลื่อมใสและพวกที่ต่อต้าน พวกต่อต้านที่มีอยู่เป็นจำนวนมากไม่เข้าใจหรอกว่า นวัตกรรมใหม่ๆ บวกกับการปลดปล่อยศักยภาพในตัวคนรวมกันแล้ว ได้ผลงานที่น่าอัศจรรย์ใจ”

       Abrashoff ไม่สนใจว่าพวกที่ต่อต้านมีทั้งคนที่ยศสูงกว่าและเพื่อนร่วมงานของเขา “ผมโชคดี ผมแค่อยากเป็นกัปตันเรือ ผมไม่สนใจว่าผมจะได้รับการเลื่อนขั้นอีกหรือไม่ ความคิดแบบนี้ช่วยให้ผมทำสิ่งที่ดีดีให้กับคนของผม แทนที่จะทำสิ่งต่างๆ เพื่อความก้าวหน้าของผม การทำแบบนี้ทำให้ผมมีโอกาสสร้างเรือที่ดีที่สุดในกองทัพเรือ และได้รับการประเมินผลงานดีที่สึดเท่าที่เคยได้รับมา ผมคงจะถูกเลื่อนขั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ” 20 เดือนหลังการรับตำแหน่งผู้บัญชาการเรือหลวง Benfold ในที่สุด Abrashoff ก็ได้รับการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่บัญชาการที่ศูนย์ควบคุมยุทธการอวกาศและยุทธนาวี

       Abrashoff คิดอยู่ตลอดเวลาว่าพันธกิจของเขาคือการเปลี่ยนแปลงระบบอาวุโสที่มีมากกว่า 200 ปี เป้าหมายของเขาคือมุ่งเน้นที่วัตถุประสงค์ ไม่ใช่มุ่งเน้นว่าใครมียศสูงกว่าใคร เมื่อคุณเปลี่ยนหลักการทำงานจากการเชื่อฟังมาเป็นการสร้างผลงาน เจ้านายก็เปลี่ยนจากผู้ที่มีแถบมากที่สุดบนบ่ามาเป็นกะลาสีเรือที่เป็นผู้ทำงานจริงๆ ไม่ได้มีอะไรที่พิสดารตรงนี้ ในองค์กรทั่วๆไป ความคิดดีดีมาจากบรรดาเจ้านาย แต่เขาเชื่อว่าคนทำงานในเรือของเขาเป็นผู้ที่ฉลาด ดังนั้นเขาจึงควรรับฟังคนเหล่านี้อย่างจริงใจ และเก็บความคิดดีดีทุกอย่างเกี่ยวกับการาทำงานให้ดีขึ้น สิ่งที่สำคัญที่สุดฐานะกัปตันเรือก็คือ การมองดูเรือของเขาผ่านสายตอของลูกเรือของเขาเอง

       มุมมองดังกล่าวนี้ช่วยให้ Abrashoff มองเห็นจุดสำคัญ 2 ประการเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง ข้อแรก มีวิธีการที่จะทำงานให้ดีขึ้นเสมอ ภายใน 2-3 เดือนแรก Abrashoff พิจารณากระบวนการทำงานในเรือและประเมินว่ามันช่วยให้เรือของเขามีความพร้อมมากขึ้นอย่างไร เขาจะถามลูกเรือที่ทำงานกับกระบวนการทำงานต่างๆ เสมอว่ามีวิธีทีจะทำให้ดีขึ้นได้หรือไม่ และโดยทั่วๆไปแล้วมันก็มีจริงๆ

ขอบคุณความรู้และแนวคิดที่ดีจาก .. PacRim Group และเครือธนาคารทหารไทย

วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2555

ป๊อปคอร์นไทยใหญ่

       ชั่วโมงนี้ กระแสของผลิตภัณฑ์ OTOP ของจังหวัดแม่ฮ่องสอนอย่าง "ป๊อปคอร์นไทยใหญ่" เริ่มเป็นที่กล่าวถึงกันมากขึ้นในบรรดานักชิม นักท่องเที่ยวมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่หนังสือพิมพ์ไทยรัฐได้เขียนอธิบายถึง "ป๊อปคอร์นไทยใหญ่" ยิ่งทำให้หลายๆท่าน คงรู้สึกสะดุดในชื่อที่แปลกไม่เหมือนใคร ทำไมต้องเป็น "ป๊อปคอร์นไทยใหญ่" ผลิตภัณฑ์ตัวนี้คืออะไร? ซึ่งไอหมอกก็รู้สึกอยากรู้ขึ้นมาแล้วสิคะ ว่าผู้ผลิต "ป๊อปคอร์นไทยใหญ่" เค้าได้แนวคิดมาจากอะไรกัน เพื่อนๆสงสัยกันบ้างมั้ยคะ??


       "ป๊อปคอร์นไทยใหญ่" ผลิตและจัดจำหน่ายโดย หจก.ภาสว่าง นำโดยคุณเทอดศักดิ์ ปิติวุฒิ กล่าวว่า ไอเดียในการทำ "ป๊อปคอร์นไทยใหญ่" มาจากการที่ญาติผู้ใหญ่ท่านนำเอาข้าวโพดข้าวเหนียวดำ (ข้าวสาลี) มาทอดผสมเกลือให้หลานๆได้กิน ซึ่งส่วนตัวแล้วค่อนข้างชื่นชอบรสชาตินี้ จึงอยากมีโอกาสให้หลายๆท่านได้ทดลองชิมขนมที่มาจากภูมิปัญญาชาวบ้านของเรา และต้องการที่จะสืบสานความเป็นเอกลักษณ์ส่วนนี้ไปให้นานเท่านาน สำหรับชื่อ "ป๊อปคอร์นไทยใหญ่" เกิดจากการทอดข้าวโพดข้าวเหนียวดำ (ข้าวสาลี) ออกมาในรูปแบบที่บานออกมาเป็นเหมือนป๊อปคอร์น (Pop Corn) และให้ชื่อว่า "ป๊อปคอร์นไทยใหญ่" เพื่อเป็นเครดิตให้ผู้เฒ่าไทยใหญ่ซึ่งเป็นผู้คิดค้นสูตรนี้ขึ้นมา

       "ป๊อปคอร์นไทยใหญ่" เป็นขนมขบเคี้ยวที่มีประโยชน์ ซึ่งในข้าวโพดข้าวเหนียวดำ (ข้าวสาลี) ประกอบด้วยคลอโรฟิลล์ ออกซิเจน ช่วยฟอกเลือด สร้างเม็ดเลือด  ช่วยระบบหมุนเวียนโลหิต มีแอนโทไซยานิน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้อัตราการเสื่อมสภาพของเซลล์ในร่างกายลดลงทำให้แก่ช้ากว่าวัย มีสารช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคมะเร็งต่างๆ ช่วยให้ร่างกายต่อต้านเชื้อโรค ช่วยสมานแผลและเสริมสร้างการทำงานของสมอง เหมาะสำหรับทุกวัย  อีกทั้งเป็นการนำเสนอของดีประจำท้องถิ่นอีกด้วย

บทความโดย .. คุณเพ็ญวิสาข์ หล้าตานะ

วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555

เส้นใยจิ๋วในระดับนาโนเมตร

       หลังจากที่มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านความสวยความงามกันมาเรื่อยๆแล้วนั้น ล่าสุดเกิดนวัตกรรมใหม่ขึ้นกับอุตสาหกรรมเครื่องสำอางกันอีกแล้วค่ะ กับ  "แผ่นแปะรักษาสิว" ซึ่งผลิตจาก เส้นใยจิ๋วในระดับนาโนเมตร ด้วยเทคโนโลยีปั่นเส้นใยไฟฟ้าสถิตหรือ Electrospinning ของนักวิจัย

       ดร.พิกุลทอง ขอเพิ่มทรัพย์ นักวิจัยจากศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ที่ค้นพบว่า เทคโนโลยีปั่นเส้นใยไฟฟ้าสถิตสามารถผลิตเส้นใยที่มีความบางต่ำกว่า 1 มิลลิเมตร  ส่งผลให้แผ่นแปะรักษาสิว ซึ่งมีหลักการทำงานคล้ายกับแผ่นแปะนิโคตินสำหรับเลิกบุหรี่ โดยส่งผ่านสารสำคัญลงลึกสู่ชั้นใต้ผิวหนังนั้น มีความเรียบเนียนติดกับผิวหนังได้สนิท ต่างจากผลิตภัณฑ์รักษาสิวทั่วไป



       นอกจากเทคโนโลยีเส้นใยนาโนที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพแล้ว นักวิจัยยังเลือกใช้สารสกัดจากเปลือกมังคุด ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้อย่างมีนัยสำคัญ มาเป็นส่วนประกอบหลักในแผ่นแปะนาโน อีกทั้งการผสมผสานความสามารถของเส้นใย 3 รูปแบบซึ่งซ้อนทับกัน 3 ชั้น ได้แก่ เส้นใยสีเหมือนผิว เส้นใยที่มีส่วนผสมของสารสกัดมังคุดและเส้นใยกาว พร้อมด้วยคุณสมบัติของเส้นใยที่มีลักษณะเป็นรูพรุน จะช่วยเพิ่มการระบายอากาศ ลดการอับชื้นและควบคุมการปลดปล่อยสารสกัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงช่วยลดการอักเสบและบดบังรอยแดงของสิว พิสูจน์ได้จากผลการทดสอบทางคลินิก เส้นใยที่ซ้อนทับกันสามชั้นยังช่วยลดการสัมผัสกับสิ่งปนเปื้อน ทำให้สามารถใช้เครื่องสำอางได้ตามปกติ

       "คุณสมบัติเหล่านี้จะเพิ่มโอกาสทางการตลาด เนื่องจากผลิตภัณฑ์แผ่นแปะรักษาสิวที่มีอยู่ในท้องตลาด ยังไม่สามารถตอบโจทย์ได้อย่างครบถ้วน" ดร.พิกุลทองกล่าว

       จากผลิตภัณฑ์แผ่นแปะต้นแบบ ทีมวิจัยได้พัฒนาแผ่นแปะ 2 เฉดสี ให้เข้ากับสีผิวส่วนใหญ่ของคนไทย โดยเน้นไปที่โทนสีเข้มสำหรับผิวคล้ำ และสีอ่อนสำหรับผิวขาว เพื่อตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มวัยรุ่นหรือวัยทำงานที่พบกับปัญหาสิวอักเสบโดยเฉพาะ  ทั้งนี้ ผลสำเร็จจากงานวิจัยดังกล่าวสามารถถ่ายทอดไปยังผู้ประกอบการที่สนใจ อาทิ บริษัทผู้ผลิตเครื่องสำอาง โรงพยาบาลและคลินิกด้านความงาม เพียงแค่ลงทุนซื้อเครื่องปั่นเส้นใยไฟฟ้าสถิตก็สามารถต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ในรูปแบบที่หลากหลาย โดยไม่จำเป็นจะต้องใช้สารสกัดจากเปลือกมังคุดเท่านั้น


ส่งต่อความคิด
       ตลาดผลิตภัณฑ์รักษาสิวในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องที่ 8-10% จากปี 2550 สินค้าในกลุ่มนี้มีมูลค่าสูงถึง 100 ล้านบาท ขยับเป็น 300 ล้านบาทในปี 2552 และ 1 พันล้านบาทในปัจจุบัน โดยตลาดใหญ่ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์แต้มสิวและโฟมขจัดสิว

       "แผ่นแปะรักษาสิวมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 2% หรือ 20 ล้านบาท เนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ในตลาดส่วนใหญ่ยังไม่เป็นที่ยอมรับจากผู้ใช้ จึงยังมีส่วนแบ่งอีก 90% ที่รอให้นักลงทุนเข้ามาต่อยอด โดยอาศัยความโดดเด่นของผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาจากวิจัยวิทยาศาสตร์และนาโนเทคโนโลยี" ดร.พิกุลทอง กล่าว

       ทั้งนี้ ผลงานวิจัยแผ่นแปะรักษาสิวเป็น 1 ใน 5 ผลงานวิจัยเด่น ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ที่จะเปิดตัวในงาน NSTDA Investor's Days 2012 ซึ่งจัดขึ้นภายใต้แนวคิด "นักวิจัยคิด นักธุรกิจลงทุน หนุนเศรษฐกิจไทยสู่ AEC" ในวันที่ 20 ก.ย.นี้ ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์

       ส่วนอีก 4 ผลงานที่เหลือ ได้แก่ ตัวเร่งปฏิกิริยาไบโอดีเซลจากเปลือกไข่ เครื่องตรวจจับจุลชีพด้วยแผ่นช่องทางเดินของไหลขนาดไมครอนพร้อมระบบวินิจฉัยทางไกล ชุดทดสอบออกซิเจนละลายน้ำแบบพกพาและเครื่องวัดและวิเคราะห์ขนาดฝุ่นละอองขนาดเล็กในอากาศ ภายในงานยังจะพบกับผลงานวิจัยน่าลงทุนจากเครือข่ายวิจัยที่มีศักยภาพ อีกกว่า 27 ผลงาน พร้อมด้วยเวทีเจรจาธุรกิจให้ภาคเอกชนที่สนใจลงทุนธุรกิจใหม่ หรือต่อยอดธุรกิจเดิมโดยอาศัยผลงานวิจัยเป็นพลังในการขับเคลื่อน

       ถึงเวลาแล้วที่เราต้องพัฒนาเอาธรรมชาติที่มีอยู่มาดัดแปลง เพื่อพลิกธุรกิจให้หยั่งยืน และเป็นที่รู้จักต่อประชากรทั่วโลก ถึงความสามารถของคนที่เราที่ดัดแปลงเอาเส้นใยนาโน มาปรับใช้กับผลไม้ไทย ให้เกิดประโยชน์ต่อเนื่องกับธุรกิจ และสร้างชื่อเสียงให้กับสมุนไพร และผลไม้ไทยอีกด้วย หากเพื่อนๆมีไอเดีย อื่นๆเพิ่มเติม ว่า "สมุนไพรหรือผลไม้ไทย" ชนิดไหนที่น่าจะมีประโยชน์ด้านเวชสำอาง ลองมาพูดคุยกันได้นะคะ ^^


ขอบคุณความรู้ดีดีจาก กรุงเทพธุรกิจ

วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555

ถั่วเหลืองคั่วกรอบ


       "ถั่วเหลืองคั่วกรอบ" ของจังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุตชาวไต(ชาวไทยใหญ่ดังเดิม) เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีความโดดเด่น สะท้อนให้เห็นถึงประเพณี วัฒนธรรมและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเมืองแม่ฮ่องสอนในอดีต ให้คนรุ่นต่อไปได้เรียนและรู้สืบทอด การผลิต

                       

       "ถั่วเหลือง" คั่ว อย่างไรให้อร่อยและอนุรักษ์ความดังเดิมไปพร้อมกัน โดยอาศัยกรรมวิธีการผลิตที่บรรพบุรุตของเราถ่ายทอดไว้ให้ ซึ่งการคั่วของชาวแม่ฮ่องสอนส่วนใหญ่ ยังคงใช้เตาถ่านอยู่ ลักษณะของเตาถ่านที่ใช้กันแต่ละบ้านก็จะทำขึ้นเอง เพราะการคั่วแบบนี้สามารถให้ความร้อนสูง ผู้ที่ทำการคั่วจึงต้องใช้ความอดทนอย่างมาก แต่วิธีนี้ก็สามารถทำให้ถั่วเหลืองคั่วสุกได้สม่ำเสมอกัน ได้ความกรอบอร่อย เก็บไว้ได้นาน  ปัจจุบันวิธีนี้ก็ยังใช้กันอยู่และถือเป็นการอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นให้คงอยู่สืบไป

  ต่อมาเราได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ สร้างมาตรฐานและคุณภาพเพื่อออกสู้ตลาดที่ใหญ่ขึ้น เราจึงส่ง "ถั่วเหลืองคั่วกรอบ" เข้าคัดสรรสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ OTOP ของจังหวัดแม่ฮ่องสอน และได้ผ่านการคัดเลือกให้อยู่ในระดับ 4 ดาว เป็นความภาคภูมิใจที่เราสามารถทำให้ผู้คนได้รู้จัก ได้รับประทานสินค้าที่มาจากภูมิปัญญาท้องถิ่น ได้อย่างแพร่หลาย และสร้างรายได้เพิ่มขึ้นให้กับคนในท้องถิ่นจังหวัดแม่ฮ่องสอนด้วย


อัตลักษณ์/จุดเด่นของผลิตภัณฑ์
         ลักษณะที่โดดเด่นของถั่วเหลืองคั่วกรอบ คือ ถั่วเหลืองที่คั่วสุกแล้วจะมีความกรอบ คนทุกวัยสามารถรับประทานได้เพราะไม่แข็งจนเกินไป ประกอบกับรูปแบบของผลิตภัณฑ์ ได้สร้างสรรค์ให้มีความหน้าสนใจ สะดวกต่อการรับประทาน


บทความโดย .. คุณเทอดศักดิ์ ปิติวุฒิ หจก.ภาสว่าง จ.แม่ฮ่องสอน

วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555

ป๊อปคอร์นไทยใหญ่ (ข้าวโพดคั่วเกลือ)


         ป๊อปคอร์นไทยใหญ่ (ข้าวโพดคั่วเกลือ) เป็นขนมขบเคี้ยวที่ผมเคยรับประทานในสมัยเด็กๆ ผู้เฒ่าผู้แก่มักจะนำข้าวโพดข้าวเหนียวซึ่งเป็นข้าวโพดประจำท้องถิ่น นำมาคั่วใส่เกลือไว้ให้ผมและหลานๆได้กิน  ผมคิดว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่กรอบ อร่อย ไม่เหมือนใครถ้าทำออกมาจำหน่าย ก็น่าจะขายได้ และยังให้ชื่อ “ป๊อปคอร์นไทยใหญ่”เพื่อเป็นเครดิตแด่ผู้เฒ่าผู้แก่ (ชาวไทยใหญ่)ผู้คิดค้นสูตรนี้



      ขั้นตอนและวิธีการใช้งาน ....นำข้าวโพดสีม่วง(ข้าวโพดข้าวเหนียว) มาแช่น้ำ ทำความสะอาด  แล้วนำมาตากแดด ค่อนข้างต้องตากหลายแดด จนกว่าข้าวโพดจะแห้ง แล้วตั้งกะทะใส่น้ำมันพืชนิดหน่อย พอร้อนได้ที่ ก็นำข้าวโพดลงคั่ว พอข้าวโพดเริ่มบานก็ตักขึ้น  พักไว้บนกระดาษเพื่อซับน้ำมันออก แล้วใส่เกลือคลุกเข้ากัน เท่านี้ก็พร้อมรับประทานได้ตลอดเวลา

              ประโยชน์ข้าวโพดสีม่วงหรือสีดำ(ข้าวโพดข้าวเหนียว) อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหารมากมาย ทั้งแอนโทไซยานิน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้อัตราการเสื่อมสภาพของเซลล์ในร่างกายลดลงทำให้แก่ช้ากว่าวัย และยังมีสารช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคมะเร็งต่างๆ เช่น ชนิดเนื้องอก และช่วยให้ร่างกายต่อต้านเชื้อโรคและสมานแผล และช่วยเสริมสร้างการทำงานของเม็ดเลือดแดง

        จุดเด่นของผลงาน ....เป็นข้าวโพด กรอบ กรอบ ที่ไม่บานเหมือนป๊อปคอร์นทั่วไป ดังนั้น เม็ดข้าวโพดที่คั่วแล้วไม่แตกหรือไม่บานสามารถรับประทานได้หมดและไม่แข็งจนเกินไป ซึ่งส่วนนี้ผมเชื่อว่าเป็นเอกลักษณ์ของป๊อปคอร์นไทยใหญ่ ที่ไม่มีใครเหมือนอย่างแน่นอน และผมก็ยังคงเชื่อเสมอว่า ภูมิปัญญาไทยคือสิ่งที่นำพามาซึ่งประโยชน์นานาประการอยู่เสมอ 



        บทความโดย คุณเทอดศักดิ์ ปิติวุฒิ หจก.ภาสว่าง จ.แม่ฮ่องสอน

กลับมาเฮฮา ตามประสาไอหมอก

         กลับสู่โหมดตั้งใจทำงานกันอีกครั้งนะคะ ^^ หลังจากที่ท้อแท้เรื่องงานมาในระยะหนึ่ง ไอหมอกไปพักผ่อนมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะคะ รู้สึกสบายใจ โล่งใจอย่างบอกไม่ถูกเลยค่ะ มีความรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอกออกไปจากใจเลยทีเดียว

          พร้อมแล้วที่ไอหมอกจะกลับมาร่าเริงอีกครั้ง สู้กับงานที่เราต้องรับมือด้วยความเต็มที่ ไอหมอกก็เชื่่อว่า ณ ช่วงเวลาหนึ่งของมนุษย์ ย่อมมีความรู้สึก สุข ทุกข์ สลับกันไป เพราะว่าทุกคนมีเป็นมนุษย์ที่มีชีวิตจิตใจ แต่เราก็ต้องอยู่กับความจริงในปัจจุบันให้ได้ที่สุด อย่ามัวจมอยู่กับความผิดหวังเนิ่นนานจนเกินไป เพราะนั่นมันทำให้เราจมอยู่กับความเศร้า ความทุกข์อยู่อย่างน้้น ถ้าเราหันไปมองอีกทีก็จะเห็นว่า ในช่วงระยะเวลาหนึ่งที่เราสมควรที่จะได้รับความสุขอย่างเต็มที่ แต่ทำไมเรากลับมัวแต่ไปจมอยู่กับสิ่งที่ไม่ว่ายังไงเราก็ไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์นั้นๆ ให้กลับมาเป็นอย่างที่เราต้องการได้อย่างแน่นอน สู้เรามาสนุกกับทุกสิ่งที่มี ทุกอย่างที่เจออย่างเต็มที่ดีกว่า


         วันนี้ไอหมอกอยากเป็นอีกส่วนหนึ่ง ที่เป็นกำลังใจให้กับทุกท่านที่กำลังมีความทุกข์อยู่ ณ ช่วงเวลานี้อย่างเต็มใจนะคะ เวลาเศร้า เพื่อนๆโปรดนึกไว้เสมอว่า ยังมีไอหมอกอยู่ข้างๆเพื่อนๆ เสมอนะคะ ^^ อะไรที่สามารถระบายให้ไอหมอกได้สามารถพัดพาความทุกข์ของท่านออกไปได้ ไอหมอกก็ยินดีที่จะทำนะคะ เพราะว่ากำลังใจคือสิ่งที่เป็นแรงผลักดันที่สำคัญในชีวิตของเราอยู่เสมอ สู้ และยิ้มไปกับมันนะคะ

วันศุกร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2555

ไอหมอกสีเทา


              วันนี้ไอหมอกมาอีกฟิวนึง .. ตามสภาพอากาศช่วงพายุเข้าในช่วงนี้เลยค่ะ เพื่อนๆเคยเป็นกันบ้างมั้ยเอ่ย ที่อยู่ๆ เราก็เกิดอากาศเหนื่อยอย่างแรง ทั้งร่างกายและจิตใจ ทั้งๆที่ปกติเราก็เป็นคนที่ค่อนข้างเข้มแข็ง ไม่ยอมแพ้กับอะไรง่ายๆ อยู่แล้ว แต่ก็นะ .. บางครั้งความสามารถในการแบกรับของคนเรามันก็แตกต่างกันไป สำหรับไอหมอกแล้ว ปัญหาที่เครียดกันได้อยู่บ่อยๆ นั่นก็คือเรื่องงาน ที่ค่อนข้างมีปัญหาเข้ามาไม่รู้จักหยุดหย่อน แน่นอน การดำเนินชีวิตของคนที่มีความรู้สึกนึกคิด มันต้องมีปัญหาเข้ามาให้แก้ไขเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว แต่ไอหมอกก็ยังถือว่าตัวเองเป็นคนที่โชคดี ที่มีกำลังใจดีดีจากหลายๆคนอยู่ข้างๆ เสมอ ...

              บางทีเราก็ต้องรู้จักการปล่อยวางบ้างเนอะ การเดินทางตามหาความฝัน ถ้าไม่เกิดปัญหาอะไรเลย ความฝันของเราก็คงได้มาง่ายดายมากเกินไป ยอมเหนื่อยเพื่อเก็บประสบการณ์ที่สวยงามรายทาง บางทีสิ่งเหล่านี้ก็เป็นบทเรียนที่มีค่า ที่เราไม่สามารถเรียนรู้ได้จากที่ไหนๆในโลกนี้เลยก็ได้ :))) 

              ขอบคุณกำลังใจดีดี จากครอบครัวที่น่ารัก พ่อ แม่ น้องสาว เข้าใจในสิ่งที่เป็นเราอยู่เสมอ .. เพื่อน พี่ น้องๆ ทุกคนเข้าใจในความรู้สึก ให้กำลังใจอย่างน่ารักๆ ขอบคุณคนคนนึงที่เอาใจใส่ทุ่มเท ใส่ใจกับไอหมอกอยู่เสมอ .. ณ วันนี้ ถ้าเราต้องเลือกใครแล้ว ก็คงไม่พ้นเค้าคนนี้แหละ ^^ 


วันนี้ไอหมอกอาจจะดูไม่สดใส สวยงาม แต่ขอเวลาอีกนิดนึง เดี๋ยวไอหมอกจะกลับมาเป็นแรงอีกแรงหนึ่ง ที่ส่งเสริมโลกนี้ให้น่าอยู่ไปพร้อมๆ กับเพื่อนๆอีกครั้ง .. อีกไม่นาน 
เป็นกำลังใจให้ไอหมอกด้วยนะคะ ที่รักทุกท่าน 

วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2555

อาหารลดความอ้วน – ถั่วเปลือกแข็ง


หลังจากที่เราได้กล่าวถึง อาหารที่มีส่วนช่วยในการเผาผลาญในร่างกาย เพื่อลดความอ้วนชนิดแรก ได้แก่ “พริก”ไปแล้วนั้น วันนี้เรามาพูดถึงอาหารลดความอ้วนชนิดที่ 2 ซึ่งได้แก่ อาหารตระกูล “ถั่วเปลือกแข็ง” กันต่อเลยดีกว่าค่ะ ท่านผู้อ่านรู้กันมั้ยเอ่ยว่า ถั่วเปลือกแข็ง เป็นถั่วประเภทไหนกันบ้าง? ง่ายๆ ถั่วเปลือกแข็งที่ว่าก็คือ นัท (Nut), ถั่วลิสง (Peanuts), ถั่วอัลมอนด์ (Almonds), ถั่วเม็ดมะม่วงหิมพานต์ (Cashew Nuts), ถั่วแมคาเดเมีย (Macadamia Nuts), ถั่ววอลนัท (Walnuts), ถั่วพิสตาชิโอ (Pistachio Nuts), ถั่วพีแคน (Pecan Nuts), ถั่วฮาเซลนัท (Hazel Nuts) และถั่วเม็ดสน (Pine Nuts) ซึ่งผลการวิจัยของมหาวิทยาลัย Purdue สหรัฐอเมริกา พบว่าการกินถั่วเปลือกแข็งช่วยกระตุ้นร่างกายให้เผาผลาญดีขึ้นอีก 11 เปอร์เซ็นต์และลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคหัวใจ ถึงแม้ว่าถั่วหนึ่งกำมือจะมีแคลอรีสูงถึง 165 กิโลแคลอรี ก็ตาม
ถั่วเปลือกแข็ง
                เมื่อพูดถึงถั่วหลายคนอาจจะไม่ชอบเนื่องจากทำให้เกิดก๊าซ ในท้อง หรืออาจจะกลัวอ้วน เนื่องจากถั่วจะมีปริมาณมานไขมันสูง ซึ่งความจริงไขมันเป็นส่วนประกอบสำคัญประมาณร้อยละ 80 ของพลังงานทั้งหมด แต่ไขมันในถั่วเป็นไขมันไม่อิ่มตัว และเป็นกรดไขมันที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย ซึ่งมีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโต ผิวหนัง ผม การควบคุมความดันโลหิต ระบบภูมิคุ้มกัน ระบบการแข็งตัวของเลือด ไขมันในถั่วเป็นไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน Polpolyunsaturated fats และไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดียว Monounsaturated fats ซึ่งสามารถเพิ่มระดับ HDL ซึ่งเป็นไขมันที่ดี ซึ่งป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ นอกจากนั้นยังอุดมไปด้วยวิตามินอี (ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ) Dietary fiber, Magnesium, Copper, Phosphorus, Potassium, Selenium และ Folate ปัจจุบันองค์การอาหารและยาของอเมริกายังได้แนะนำให้รับประทานถั่ววันละ 1 กำมือเพื่อลดไขมัน cholesterol อีกด้วย
                ผลิตภัณฑ์จากธัญพืชเต็มเมล็ดอย่างตระกูลถั่วเปลือกแข็ง อุดมไปด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวและเชิงซ้อน รวมทั้งสารอาหารอื่นๆ อาทิ โอเมก้า 3 6 และกรดไลโนเลอิก ช่วยลดสาเหตุของการติดเชื้อ และช่วยดูแลระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้เช่นกัน เมื่อรับประทานอัลมอนด์ วอลนัท และถั่วบลาซิลนัท จะเป็นผลดีต่อโรคหัวใจ และลดปริมานไขมันร้าย และยังมีประโยชน์ต่อผิวพรรณ ช่วยลดริ้วรอย และช่วยฟื้นฟูความจำได้ดีอีกด้วย

                และแน่นอนว่า อาหารทุกประเภทย่อมมีทั้งผลดีและผลเสียอยู่ร่วมกัน ดังนั้นการรับประทานถั่วเปลือกแข็งที่มากเกินไป ก็อาจส่งผลต่อร่างกายได้เช่นกัน ดังนั้นผู้อ่านทุกท่าน ควรจะเลือกรับประทานในปริมานที่เหมาะสม ควบคุมการกินให้มีความสมดุล เท่านี้ก็จะทำให้ทุกท่าน สามารถเผาผลาญไขมันได้อย่างเป็นระบบ เดินเข้าสู่การเป็นผู้มีสุขภาพที่ดี แข็งแรง และบุคลิกดีได้อีกด้วย

บทความโดย .. คุณเพ็ญวิสาข์  หล้าตานะ และ ศูนย์สารนิเทศทางอาหาร (FIC)
ขอบคุณ รูปภาพจากอินเตอร์เนต